อย่ากังวลมากไป
การที่เราได้เกิดมาเป็นคนในชาติ ได้มายืนอยู่บนผืนแผ่นดินโลกใบ นี้ได้มาใช้ชีวิตตามวิถีของ ตนจะรวย หรือจะสูงจะต่ำดำหรือ เตี้ยเราก็ไม่ควรที่จะไปเสียเวลา คิดว่าตัวเองต่ำต้อยหรือสูงส่งเพราะถ้า คิดแบบนั้นมันคือ หลงหลงในตัวใน ตนหากคิดว่าตัวเองนั้นสูง ส่งก็จะเบียดเบียนผู้ อื่นเหยียบย่ำผู้อื่นให้ต่ำเตี้ยกว่าตน หรือหากคิดว่าตัวเองต้อย ต่ำก็จะคิดแต่จะคอยเหยียบย่ำตัวเองดูถูก ตัวเองเอาตัวเองเป็นเกณฑ์ แล้วเอาไปเปรียบ เทียบเราจงอย่าไปเสียเวลากับสิ่งเหล่า นั้นเลยเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน ก็นับว่ามีบุญนัก แล้วเราอย่าพากันหลงยึดติดยึดมั่นสำคัญ มั่นหมายอะไรนักเลยเพราะชีวิตนี้มันไม่มี อะไรแน่ นอนใหญ่ได้ก็เล็กได้รวยได้ก็จนได้แข็งแรง ได้ก็ป่วยได้ไม่มีใครใช้ชีวิตอยู่ได้ค้ำ ฟ้าหรือว่าอยู่ได้เป็นกัปเป็น กันทุกคนทุกชีวิตต่างก็มีเวลาของ ตนแล้วให้เรากลับมาถามตัวเองดูเถอะว่า เวลาที่เหลือในชีวิตนี้เราจะมีคุณประโยค โยอะไรต่อ บ้างหากตั้งจิตตั้งใจคิดแต่จะทำความชั่ว ก็ลองกลับมาถามตัวเองดูว่าที่ทำไปนั้นมัน ได้ อะไรเพื่อ อะไรให้มองลงไปลึกๆมองลงไปในจิต ใจถ้าหากว่าเราเจอคำตอบแล้วเราก็จะ เห็นเราก็จะเข้าใจว่าสิ่งที่ทำชั่วอยู่ มันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรนอกจากจะมีแต่จะทำลายตนเองหาความวุ่นวายใส่ตนเองดัง นั้นจงอย่าพากันหลงตัวหลงตนอย่าประมาทใน ชีวิตเราลืมตาดูโลกขึ้นมาเราจะมีเวลาหาย ใจอยู่สักกี่หมื่นวัน อย่างมากกว่า 20,000 หรือ 30,000 วันเรา ก็แก่เราก็เจ็บไม่นานเราก็ ตายแต่ก่อนที่เราจะจากไปเราจะทำอะไรให้ แก่ตนเองบ้างล่ะที่มันพอจะเป็นประโยชน์ ติดตามเราไปในภพอัน ใกล้ถ้าเราไม่ได้สร้างเหตุไว้เลยในระยะ เวลา 20,000- 30,000 วัน นี้มันน่ากลัว นะหลังจากที่ธาตุ 4 ขันธ์ 5 มัน แตกดักมันแยกออกจาก กันเราจงอย่าพากันไปหลงยึดติดยึดมั่นกับ อะไรมากเกินไปจนลืมไป ว่าจริงๆแล้วเราเป็นเพียงแขนโลกนี้เพียง ชั่วครู่ชั่วคราวเท่า นั้นไม่นานเราก็จากไปสุดท้ายก็เหลือแต่ เพียงความว่าง เปล่าเอาอะไรติดตัวไปไม่ได้เลยสัก อย่างในระหว่างที่ทุกข์ชีวิตเดินทางไปสู่ วันสุด ท้ายเราจงสร้างเหตุสร้างประโยชน์ให้แก่ตน เถิดการสร้างเหตุเพื่อเป็นสมบัติแก่ตน ติดตามตนไปในภพหน้าก็มีอยู่ไม่มากที่จะลง มือทำนั่นก็คือทานศีล ภาวนาเพื่อเป็นไปสู่ทางแห่ง วิมุตติสุขพระพุทธองค์ท่านทรงเคยตรัสไว้
ในสมัยพุทธกาล ว่าวิมุตตาสูตรหนทางแห่งความหลุดพ้น 5 ประการ 1 มีการฟัง 2 มีการคิด 3 มีการ เทศน์ให้ผู้อื่นฟัง 4 มีการท่องบทสาธยาย และมีการพินิจ พิจารณาและ 5 มีการเจริญสมาธิเป็นตัวสุด ท้ายในสมัยนั้นผู้คนที่เกิดมาเปี่ยมล้น ด้วยบารมีที่ได้เกิดมาร่วมสมัยกับพระ พุทธองค์เหมือนตะเกียงที่มีน้ำมันมีไส้ อยู่เต็มแล้วรอแต่แสงไฟจุดจากไม้ขีดไฟ เท่า นั้นตะเกียงก็ติดแล้วก็ส่องสว่างขึ้นมา ได้พอได้ฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้าเท่านั้น ปัญญาก็สว่างพรหมก็เพราะว่าคนเหล่านั้น เขาสร้างเหตุเขาสร้าง บารมีสร้างกันเอาไว้มาอย่างมากมายหลายกัป หลาย กันก็เหมือนคนเราในปัจจุบันนี้ที่หลายคน มีใจฝักใฝ่ในธรรมหรือได้ฟังธรรมแล้วเข้า จิตเข้าใจพิจารณาธรรมเป็นไปตามความจริงใน ธรรมนั้นๆมันก็มีผลมาจากบารมีเดิมบารมี เก่าที่คอยเกื้อหนุนคอยประคับประคองให้ เราได้อยู่ในเส้นทางแห่งธรรมนี้ ฉะนั้นเราจึงไม่ควรที่จะไปดูถูกตัวเอง หรือว่าไปดูถูกผู้อื่นเพราะทุกคนก็ต่าง สร้างบารมีมาเหมือนกันอยู่ที่ว่าใครจะ สร้างได้มากสร้างได้น้อยเท่า นั้นการสังเกตว่าเราเป็นคนมีบารมีติดตัว มามยก็ให้เราสังเกตดูใจดูตอนที่เราทำความ ดีใจมันดีใจมันเย็นตามใจมันไม่ไขว้เขวไป ในทางชั่วหรือให้สังเกตใจตัวเองง่ายๆใน ตอนที่เราได้ฟัง ธรรมะจะเป็นฟังจากที่ไหนหลวงปู่ปู่หลวง พ่อหรืออ่านจาก ตำราหากเราได้ฟังแล้วจิตใจเกิดความสงบ ชุ่มเย็นพิจารณาตามธรรมเห็นไปเป็นตามความ จริงนั่นแหละบารมีที่เราเคยได้สร้างมาก็ ใช่ว่าจะ น้อยฟังธรรมแล้วเข้าใจในธรรมมันก็ไม่ใช่ เรื่องบังเอิญที่จะเกิดขึ้นได้ง่าย มันย่อมมีของเก่าที่ติดตัวเรามาด้วยเรา จึงฟังธรรมไม่เกิดความสงสัยในธรรมแล้วนอบ น้อม โอปนยิโกเข้ามาสอนจิตสอนใจจนจิตใจพบกับ ความสงบได้อันนี้แหละของเก่าแต่บางคน บารมียังอ่อนยังจำเป็นต้องสร้างบารมีอีก ต่อ ไปผู้ที่มีบารมีอ่อนนั้นฟังธรรมย่อมสงสัย มีความลังเลมีความฟุ้งซ่านบางครั้งก็หา จับผิดจับถูกในถ้อยคำในธรรมนั้นๆแทนที่จะ โอปนยิโกน้อมเข้ามา พิจารณาบางคนถึงกลับไปเสียเวลาไปจับผิด จับถูกกับคำพูดนู่นนั่นไปจับผิดสละสเสือร เรือคำควบกล้ำออกเสียงผิดออกเสียงอย่าง นั้นอย่างนี้ก็ว่าไปคนอย่างนี้บารมีทาง ปัญญายังอ่อนอยู่เพราะยังส่งจิตส่งใจไป จับผิดผู้อื่นไปเอาผิดผู้อื่นเพื่อให้ถูก ต้องตามนั้นตามนี้ตามเหตุผลของตนก็ว่ากัน ไปตามเหตุผลของ ภาษาอันที่จริงแล้ว ธรรมะไม่ควรที่จะมองออกไปข้างนอกให้มอง เข้ามาภายในจิตในใจของ ตนตอนที่ฟังธรรมอยู่นั้นมันเกิดอะไรขึ้น กับจิตใจของตนมีอารมณ์เป็นอย่าง ไรหงุดหงิด ฟุ้งซ่านหรือจ้องจับผิดให้ดูมันเข้าไปว่า เหตุอะไรมันถึงเป็นอย่าง นั้นอารมณ์ถึงได้เป็นอย่าง นี้ผู้มีปัญญาบารมีย่อมมองเห็นสิ่งที่ ซ่อนเร้นอยู่ภายในจิตในใจของ ตนเมื่อเขารู้ว่ามันไม่ดีมันเป็นทุกข์เขา ก็หาวิธีเอา ออกหาวิธี ละมันได้สละออกไปได้ปล่อยวางลงได้ใจของ เขาก็พบกับความสงบ ได้รู้แล้วปล่อยวางนั่นแหละทางแห่ง วิปัสสนาผู้มีปัญญาในทางธรรมเขาย่อมเห็น เขาย่อมรู้เขาย่อมยอมรับแต่เขาไม่ไปตัด ศีลคนเราทุกคนทุกวันนี้ที่มันทะเลาะกัน อาฆาตกันก็เพราะว่ามันไปตัดสินกันนี่แหละ มันจึงเบียดเบียนกันและเห็นกันอยู่มากมาย ดาดดื่นในหน้าข่าวหวังจะให้ผู้อื่นถูกใจ ตนแต่ตนจะถูกใจผู้อื่นนั้นไม่อาจทราบได้ คนอย่างนี้พระท่านว่ายังประมาท อยู่ผู้ใดไม่รู้จักตนผู้นั้นย่อมห่างไกล ธรรมเพราะธรรมโดยแท้ก็อยู่ในตัวตนของเรา นั่น แหละหลวงปู่ท่านหนึ่งท่านได้เคยกล่าวไว้ ว่าหากเรารู้จักพิจารณา ตนให้เห็นจนสุดลอบเห็นจนแจ้งไอ้ตัวเหล่า นี้มันก็เหมือนตู้พระไตรปิฎกเคลื่อนที่ดี ๆนี่เองทุกสิ่งทุกอย่างดีชั่วมันก็อยู่ใน นั้นท่านจึงบอกว่ารักษาใจตนไม่ให้ เบียดเบียนคนอื่นเท่ากับว่ารักษาคนทั้ง โลกมันจะมีวันนึงที่เราไม่ได้อยู่ในโลก นี้แล้วและเราต้องทิ้งทุกอย่างทั้งญาติ พี่น้อง ข้าวของสมบัติเงินทองทรัพย์สิน สลึงคานต่างๆพวกนี้เราต้องทิ้งหมดนั่นคือ ทุกคนต้องเดินไปสู่ความแตกสลายแต่ตอนนี้ ตอนที่เรายังมีกำลังตอนที่เรายังมีชีวิต อยู่มันก็ยังไม่สายเกิน ไปเราจะหาประโยชน์อะไรได้กับลมหายใจที่ ยังเหลืออยู่ในความหมายก็ คือก่อนที่เราจะตายนั้นเราคิดที่จะแก้ไข มันหรือยังหรือจะให้มันฝังลึกฝังลากลงไป อย่างนี้ติดตามเราไปทุกภพทุกชาติ องค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ยอมจนตรอกจนมุม กับเรื่องของความ ตายทุกคนในสมัยไหนก็ตามตั้งแต่สมัยพุทธ หรือสมัยดึก ดำบรถึงปัจจุบันนี้ทุกชีวิตต่างก็พากัน เดินไปสู่ความตายด้วยกันทั้งนั้นหรือจะ พูดได้ว่าความตายคือเส้นชัยของทุกคนก็ไม่ แปลกแต่พระศาสดาองค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีความละเอียดลึก ซึ้งในมุมมองในวิธีคิดจะพูดได้ว่าในสมัย นั้นท่านเป็นผู้ที่คิดนอกกรอบคิดแตกต่าง จากสิ่งที่เป็นอยู่ในสมัย นั้นขอบคายประเพณีวัฒนธรรมความเชื่อความ ศรัทธาท่านคิดออกจากสิ่งเหล่านี้ไปไกลมาก ท่านมีคำถามอยู่ภายในใจว่าทุกชีวิตล้วน เกิดมาต้องตาย แต่ถ้าไม่ตายล่ะจะทำอย่างไรส่วนใหญ่ทั้ง ในอดีตและใน ปัจจุบันคนจะไม่ค่อยคิดกันในเรื่องนี้บาง คนก็ตีความหมายไปว่าถ้าพูดเรื่องความ ตายมันเป็นเรื่อง อัปปมงคลคนก็ว่ากันไปนู่นส่วนใหญ่คนไม่ ค่อยคิดกันเรื่องนี้หรือไม่กล้าแม้แต่ที่ จะคิดเพราะคำว่าตายมันมีความหมายที่น่า กลัวแต่บางคนเรื่องชั่วๆกลับไม่กลัวกัน ไม่กลัวเลยพากันมีเวลามาคิดว่าจะแก้ปัญหา เรื่องความตายอย่าง ไรจึงปล่อยตัวเองตายไปอย่างเปล่าประโยชน์ ตายไปอย่างไร้ความ หมายคิดแต่ว่าระหว่างที่ตัวเองเดินไปสู่ ความตายนั้นจะทำอย่างไรให้อยู่กินให้สบาย อยู่ดีมีสมบัติข้าวของเงินทองสะสมเอาไว้ ให้ได้มากที่สุดโดยเฉพาะทุกวันนี้สังคม วัดกันด้วยวัตถุไม่ได้วัดกันที่คุณงาม ความดีจึงพากันคิดกันได้แค่นั้นพระ พุทธองค์ท่านไม่ได้ทรงคิดแค่นั้นพระองค์ ทรงคิดค้นฝึกฝนตนเองหาคำตอบให้กับตนเอง โดยการเสียสละหลีกเล้นปลีกวิเวกจนพระองค์ ได้ตรัสรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่พระองค์ ทรงคิดค้นและฝึกฝน ตนเมื่อพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้วก็ เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ รู้แจ้งโลกเป็นสัพัญญูเจ้าและพระพุทธองค์ ได้ทรงตรัสรู้แล้วท่านก็ไม่ได้เก็บไว้แค่ เพียงผู้เดียวท่านก็นำความรู้เหล่านั้นมา เผื่อแผ่ให้กับสัตว์โลกผู้ที่ยังข้องอยู่ กับทุกข์เพื่อให้สัตว์ทั้งหลายพ้นออกจาก ทุกข์สัตว์จะต้องพลัดพรากจากของรักของ ชอบอานนท์เออยยตัตถาคตได้บอกแล้วไม่ใช่ หรือว่าสัตว์ทั้งหลายจะต้องได้พลัดพราก จากของรักของชอบด้วยกันทั้ง สิ้นสัตว์จะได้ตามปรารถนาในสังขารนี้แต่ ที่ไหน เล่าข้อที่สัตว์จะหวังเอาสิ่งที่เกิดแล้ว เป็นแล้วมีใจปรุงแต่งแล้วมีการแตกดับเป็น ธรรมดาว่าสิ่งนี้ที่ข้าข้ารักค่าหวงแหน อย่าได้ชิบหายเลยดังนั้นสิ่งเหล่านี้ย่อม ไม่เป็นฐานะที่มิได้เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมสลายเป็น ธรรมดายโสธราเอ๋ยเราได้รู้แจ้งแล้วว่า ความสุขอันเป็นโลกียทั้งมวลที่สุดแล้ว เป็นทุกข์ยโสธราเอ๋ ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบไม่มีความ สงบใดเสมอด้วยพระ นิพพานการดับกิเลสทั้งมวลสงบจริงผู้ใดมี สิ่งรักร้อยผู้นั้นก็มีทุกข์ร้อยเช่นกัน ผู้ใดมีสิ่งรัก 10 ผู้นั้นก็ย่อมมีทุกข์ 10 ผู้ใดมีสิ่งรัก ผู้นั้นก็ย่อมมีทุกข์หนึ่งผู้ใดไม่มีสิ่ง รักผู้นั้นแหละไม่มี ทุกข์เราขอเตือนพวกเธอว่าสังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็น ธรรมดาพวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึง พร้อม เถิดผู้ไม่ประมาทต่อความตายโอ้หนอเราอาจ มีชีวิตอยู่ชั่วระยะเวลาแค่ เพียงเคี้ยวข้าวคำนึงกลืนกินเราพึ่ง มนติการถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาคเถิด เมื่อเธอทั้งหลายระลึกถึงพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ความกลัวก็ดีความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพลองสยองกล้าก็ดีจะไม่มีเลยในหมู่ ชนเหล่านั้นเราทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ ประมาทเป็นอยู่จงเจริญ มรณานุสสติเพื่อความสิ้นไปของอาสวะอย่าง แท้ จริงอริยสัจ 4 เป็นที่พึ่งอันเกษมเป็นที่ พึ่งอันอุดมเพราะบุคคลอาศัยที่พึ่งนั้น ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้ง ปวงพวกเธอจงเป็นผู้ไม่มีความประมาทมีศีล มีสติเป็นอย่างดีมีความดำริอันตั้งไว้ แล้วด้วยดีตามรักษาซึ่งจิตของตน เถิดความไม่ประมาทเป็นหนทางแห่ง นิพพานความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย ประตูนครแห่งความไม่ตายตถาคตเปิดโล่งไว้ แล้วเพื่อสัตว์ทั้งหลายได้เข้าถึงถิ่นอัน เกษม นิพพานไม่ปรารถนาสิ่งใดๆนอกจากสิ่งที่ไม่ มีการเกิดอีกต่อไปไม่มีความสุขใดจะ ประเสริฐยิ่งไปกว่าความปกติของจิตคือจิต เย็นจิตสะอาดจิตสว่างจิต สงบไม่มีความงามใดจะงดงามงามไปยิ่งกว่า บุคคลที่มีจิตปกติจิต บริสุทธิ์ความสวยงามของเรือนร่างกายภาย นอกเพียงอย่างเดียวนั้นแต่จิตภายในร้อนรน เต็มไปด้วยกิเลสตัณหาโมหะโทสะโกรธโลภะ เป็นความสวยที่น่าเกลียดน่ากลัวยิ่ง นักพูดแบบภาษาบ้านก็ต้องพูดว่าสวยแต่ภาย นอกแต่ภายในเน่าเฟ๊ะคนอย่างนี้เทวดาดีๆ เขาไม่กล้าเข้า ใกล้พระอริยะท่านหลีกหนีบุคคลที่มีจิต สกปรกทันทีแม้นเปลือกนอกจะสวยเพียงใดก็ ตามคนจะงามต้องงามมาจากภายในใจที่เป็นศีล เป็นธรรมนั่นแหละ ถึงเรียกว่า งามยิ่งหลวงปู่ขาว อาโยให้โอวาทไปว่าถ้าต้องการความเจริญ ความก้าวหน้าอย่าไปอิจฉา คนอุปสรรคเป็นสัญลักษณ์ประการหนึ่งที่ ช่วยผลัก ดันคนธรรมดาคนธรรมดาให้กลายเป็นมหาบุรุษ ได้การให้อภัยกับบุคคล ที่เหนือกว่าตนเป็นเรื่องของการ จำยอมการให้อภัยกับบุคคลที่เสมอตนเป็น เรื่องความพอ ใจการให้อภัยกับบุคคลที่ด้อยกว่าตนนั่น คือยอดแห่งการให้ อภัยการยึดการครอบครองมันเป็นของหนักหนัก หน่วง มากใจดวงนี้ไม่ว่าจะไปรักก็ตามไปโกรธก็ ตามล้วนเป็นพิษต่อจิตใจด้วยกันทั้งนั้น คุณอาจจะหลงคิดว่าโชคชะตาทำร้ายคุณแต่ เปล่าเลยความคิดของคุณต่างหากที่ทำร้าย ตัวเองจงมีสติอย่าให้ความคิดมันหลอก เอามันหลอกเราได้เมื่อไหร่ใจเราก็ทุกข์ ทุกเมื่อนั้นปัญญาคือความฉลาดรักษาใจไม่ ให้ทุกข์เฝ้ามองใจตนเองเป็นผู้ระมัด ระวังเหตุเป็นผู้รักษาใจตนเองอยู่ เสมอการออกไปวุ่นวายไปตัดสินคนอื่นสิ่ง อื่นนี่คือใจยังโง่อยู่ให้มันฝึกฝนสอนจิต สอนใจของตนเองด้วยหลัก 3 อย่างนั่นก็คือ ศีลสมาธิ ปัญญาเราจะทำ 3 อย่างนี้ให้บริบูรณ์ได้ก็ ต้องอาศัยสติมีสติอยู่กับลมหายใจหากมีสติ อยู่กับลมหาย ใจก็จะไม่ไหลไปกับความนึกคิดปรุงแต่ง มโนกรรมจึงไม่ ปรากฏใจคือหลักใจหากระงับที่ใจได้ก็ระงับ ได้ทั้ง หมดเมื่อสติสมาธิปัญญามีกำลังตั้งมั่นรวม กันเป็นหนึ่ง แล้วรู้กับละมันก็เป็นตัวเดียวกันนั่น แหละนั่นก็คือสมถะกับ วิปัสสนาการที่เรามาจับผิดตนเองกับการที่ เราไปจับผิดคนอื่น 2 อย่างนี้มันต่างกัน ราวฟ้ากับเหวเมื่อเรามองลงสู่ใจตนเราจะ เห็นความคิดของตนเห็นความไม่ดีของตนเอง แล้วก็แก้ไขตนเองนี่คือผู้ฝึกฝนตนโดย แท้ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งท่านว่า ไว้ถ้าจิตมันไหลไปกับอารมณ์ก็ปล่อยให้มัน ไหลไปก่อนเพียงแค่เราเอาสติจัดดูว่ามัน กำลังไหลไปกับอารมณ์ใดอย่างเช่นมันไหลไป กับอารมณ์ กามราคะมันติดอกติดใจในภาพแห่งกาม ราคะท่านก็ว่าให้เอาอสุภะนั่นแหละมาสอน อสุภะคือการพิจารณาซากศพของที่สวยที่งาม ที่จิตมันหลงติดอยู่นั้นเอาภาพของ อสุภซากสที่เรานึกได้เอามาสอนจิตให้มัน ให้มันเห็นความจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนไม่ เที่ยงรูปร่างจะสวยงามมากเพียงใดในที่สุด แล้วมันก็จะเน่าสลายเหมือนกันมันสวยก็สวย ตั้งแต่ตอนที่มันเคลื่อนไหวมีลมหายใจอยู่ พอจิตออกจากร่างมันก็กลายเป็นซากศพลองบอก ให้มันไปหอมไปดมซากศพดูสิจิต นี้มันก็ไม่เอามันเห็นเป็นของที่น่าขยะ แขยงทันทีเมื่อเห็นเช่นนี้จิตมันก็จะกลับ เข้ามาสู่ลมตามเดิมแต่มันมาอยู่กับลมได้ สักพัก มันก็เคลื่อนไปอีกไปสู่อารมณ์แห่งกามราคะ ก็เอาอสุภะนั่นแหละมาสอนมันอีกครั้งสอน มันบ่อยๆเข้ามันก็จะเกิดความรู้ความเห็น จริงว่าสิ่งที่มันติดอกติดใจอยู่นั้นมัน ไม่เที่ยงมันไม่เป็น อนัตตามันเป็นภาพมายาหลอกลวงเมื่อจิตมัน ยอมรับความจริงได้มันก็จะเข้าใจกลับมาสู่ ฐานลมมันนิ่งอยู่ในลมได้สักพักมันก็จะไหล ไปสู่อารมณ์อื่นอีกอย่าง เช่น พยาบาทเมื่อจิตมันไปเสวยอารมณ์นี้มันก็จะ มีความฟุ้งซ่านรำคาญเข้ามาด้วยตรงนี้จะ เอาอสุภะไปสอนมันก็ได้หรือจะเอาหลักแห่ง ความเมตตาไปแก้มันก็ดีเมื่อมันโกรธก็สอน ให้มันมี เมตตาถ้ายกเอาอสุภะเราก็บอกมันสอนมันว่า เอ็งจะไปโกรธอะไรใครเคโกรธเค้าก็เหมือน กับโกรธตัวเองเพราะว่าเราและเขาสุดท้าย แล้วก็ต่างเป็นซากศพเหมือนๆกันเมื่อเอา ซากศพนี้ไปผักเขามันก็เหลือแต่กองขี้เฒ่า เหมือนๆ กันมันจะไปสำคัญที่ตรงไหนในเมื่อจิตและใจ ได้ทิ้งของพวกนี้ไว้แล้วเอ็งจะเอาอะไรกับ ที่เฒ่ากอง นั้นสุดท้ายแล้วเขาก็เอาไปกลบเอาไปฝัง กลายเป็นดินตาม เดิมเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเสื่อมสลายกลับ กลายเป็นธาตุดิน เราจะไปเอาความผิดอะไรกับดินดินก็คือดิน อยู่วันยันค่ำถ้าเราไปเอาความผิดไปโกรธไป เกลียดดินมันก็เท่ากับว่าเหล่านี้เป็นบ้า เป็นคนโง่ไป แล้วหากพิจารณาได้เช่นนี้พิจารณาแล้วก็ สอนมันจนจิตมันยอมรับจิตมันก็จะปล่อยวาง คลายความยึดติดยึดมั่นกลับมาสู่ความสงบ อยู่ในฐานของลมนั่น เองเมื่อจิตมันมาอยู่กับลมจนกลายเป็น สมาธิตั้งมั่นได้แล้วจิตได้พบกับความสงบ แล้วหากทำอย่างนี้ท่านว่าได้ทั้งวิปัสสนา และสมถะไปพร้อมๆ กันเมื่อจิตมันได้พบกับความสงบแล้วมัน เห็นแล้วว่าความสงบดีกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มันเคยเป็นมาเมื่อจิตมันมาทางนี้มาทาง สงบแล้วมันเกิดความชินกับความสงบจนมัน ชำนาญเป็นว่าสีแล้วหากเรานั่งสมาธิคราว หน้าหรือครั้งต่อๆไปจิตใจมันก็จะดิ่งเข้า มาทางนี้ทันทีจิตมันจะไม่ไปหลงเชื่อกิเลส อีก แล้วมันเห็นความสงบความว่างดีกว่าสิ่ง เหล่านั้นเมื่อมันชำนาญจนเป็นวัศีตรงนี้ แหละท่านว่ามันจะเกิด ปัญญามันจะเกิด ฌานโลกุตตระคือฌานที่จะพามันหลุดพ้นออก จากวัฏฏสงสาร นี้เมื่อจิตมันเห็นทางที่ดีกว่าแล้วมันก็ จะไม่กลับไปเป็นเหมือนอย่างเก่ามันเห็น สิ่งเก่าๆเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจเป็นสิ่ง ที่ควรปล่อยวางไม่ควรยึดติดยึดมั่นตรงนี้ แหละท่านว่าจิตมันจะ เดินเราจงอย่าไปเสียเวลาแก้ไขผู้อื่นอยู่ เลยมาแก้ไขตนดีกว่ารู้แจ้งเห็นจริงกว่าไป แก้ไขผู้อื่นก็มีแต่ทุกข์เท่า นั้นท่านจะพบคำตอบได้จากทุกปัญหาได้จากลม หายใจที่เข้าออกหากท่านเอาความรู้ทั้งหมด แนบชิดตั้งมั่นอยู่ในลมท่านจะเข้าใจในตน เองอย่างถ่องแท้หลงความคิดคือหลงเงาแห่ง ตัวตนมีสติรู้เท่าทัน ความคิดนั้นคืออริยชนเกิดขึ้นแล้วเจริญ สติจนเป็น มหาสติความรู้ทั้งหลายจะปรากฏขึ้นมาให้ เห็นถ้ายังติดอกติดใจอยู่กับการปรุงแต่ง ไม่มีทางหรอกที่จะได้เห็นความ จริงความคิดมันเกิดก่อนความปรุงแต่งจึง ตามมาอารมณ์จึงเกิด ขึ้นอารมณ์มันเป็นผลมาจากความคิดเราก็ เข้าใจได้เลยว่าความคิดนั่นแหละคือต้น เหตุอารมณ์นั้นเราเป็นคนสร้างมันขึ้นมา เองและเป็นธาตุของอารมณ์ เองอารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้นจากความปรุง แต่งหรือความ คิดถ้าเราจะดับอารมณ์จะต้องดับมันที่ต้น เหตุเท่านั้นอุปทานคือตัวปรุงตัวเกิด เมื่อใดที่เห็นว่าเราไม่ได้คิดแต่มันคิด เราก็ไม่เกิดที่ยังเกิดอยู่ก็เพราะว่า เห็นว่าเราคิดแล้วเข้าไปปรุงแต่งต่อมันก็ เลยวางไม่ได้ให้เราเพียรอยู่ในฐานะของ อานาปานสติมีสติผูกไว้กับลมหายใจที่เข้า ออกเพียรมันไปเรื่อยๆดุจดั่งน้ำเพียง 1 หยดเมื่อหยดลงใส่โอ่งบ่อยๆเข้าน้ำก็ สามารถเต็มโอ่งนั้น ได้ลองตรึกตรองให้ดีเถิด ว่าในวันหนึ่งวันหนึ่งนั้นเราทุกข์เพราะ อะไรถ้าไม่ใช่เพราะความคิดความคิดมันลาก เราไปขึ้นสวรรค์บ้างลงนรกบ้างก็เพราะความ คิดความปรุงปรุงแต่งนี่แหละความคิดถึง ความห่วงใยมันเป็นบ่วงคล้องใจของผู้ที่ หลงเข้าไปเป็นเจ้าของมันแต่เราต้องจ่าย ด้วยราคาอันแสนแพงนั่นก็คือหลายภพหลาย ชาติพระพุทธองค์และพระอรหันตสาวกทุกรูป ทุกนามท่านมักจะกล่าวเป็นสิ่งเดียวกันว่า การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง การที่จะไม่เกิดนั้นมีอยู่แล้วคือทางแห่ง มรรคผลนิพพานนั่นเองพระตถาคตท่านทรงชี้ บอกทางไว้แล้วทีนี้ก็อยู่ที่เรานี่ล่ะว่า เราจะก้าวเดินไปตามทางนั้นหรือไม่สวัสดี [เพลง] ครับเกิดมาเป็นมนุษย์ทันทีทำไปเถิดความดี เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เรามี ความสุขได้และมันจะติดตามเราไปทุกภพทุก ชาติการฟังธรรมให้เข้าถึงธรรมะนั้นระยะ เวลาในที่เรานั่งฟังธรรทำมันก็ไม่มีธุระ หน้าที่กายก็ไม่ได้ไปทำงานวาจาก็ไม่ได้ พูดจิตก็ห้ามไปคิดในอดีตใน อนาคตจะกำหนดพุทโธพุทโธอยู่ภายในทำให้จิต ใจได้สัมผัสกับบทบริกรรมของตนก็ได้จะ กำหนดลมหายใจเข้าออกของตัวเองก็ถูกแล้ว อันนี้แล้วแต่อัธยาศัยของใครว่าใครชอบ อะไรชอบแบบไหนหรือที่เรามักจะได้ยินบ่อยๆ ว่าตรงจริตนั่นแหละแล้วดึงจิตดึงใจของตัว เองที่มันคิดปรุงแต่งนั้นถอยกลับคืนมาจาก ที่ปรุงแต่งของมันคือถอยเข้ามาภายในเข้า มาหาดวงใจของตัวเมื่อเราตั้งใจไว้อย่าง นั้น แล้วท่านแสดงธรรมอะไรธรรมะที่ท่านแสดงออก ไปนั้นก็จะไปสัมผัสกับจิตใจของเราที่ตั้ง เอาไว้โดยไม่ต้องส่งใจไปคิดว่าท่านจะ เทศน์อะไรจะสอนอะไรนั่นเป็นหน้าที่ของ ท่านหน้าที่ของเราคือให้ตั้งจิตตั้งใจ ไว้ให้มีสติ สัมปชัญญะรู้ตัวทั่ว พร้อมที่จะฟัง ธรรมพินิจพิจารณาไปถ้าหากเรามาพิจารณาตาม ธรรมะของพระพุทธองค์อย่างจริงจังมันก็จะ ถอด ถอนและก็คลายกำหนัดได้เพราะมันเห็นเป็น จริงอย่างนั้นมันจะไม่หลงใหลใฝ่ฝันไม่ได้ บ้าไม่ได้บอไปตามสมมติของ โลกจิตจะเกิด นิพพานความเบื่อ หน่ายก็เพราะอาศัยพิจารณาทบทวนกระแสเพราะ ธรรมะมัน ทวนสมมุติทวนนะมันไม่ได้ถือว่าเป็นสิ่ง นั้นดีสิ่งนี้ วิเศษเราผู้ฝึกภาวนาจงพยายามทวนกระแสของ ใจอย่าปล่อยให้มันไหลไปตามสัญญาอารมณ์ของ กิเลส ตัณหาเมื่อเราทวนกระแสได้มากเท่าใดจิตก็ จะยิ่งห่างไกลจากความทุกข์จากความลุ่มหลง จากความเศร้า หมองจากความขัดข้องเท่า นั้นหากเราโลภมากขนาดไหนอยากได้มากขนาด ไหนแสวงหาได้มากขนาดไหนเมื่อเวลาเราตายไป เราก็เอาอะไรไปไม่ได้สัก ไม่เห็นมีใครในโลกนี้ที่เขาหอบหิ้วเอา มหาสมบัติออกไปจากโลกนี้ได้เลยสมบัติของ โลกก็เป็นสมบัติของโลกอยู่วันยัง ค่ำมันก็เป็นอยู่อย่าง นั้นคนที่เรายื้อแย่งกันก็เพราะว่ามันมี ความหลงใหลในสิ่งที่ไม่ใช่สมบัติของ ตนโดย แท้เวลาที่เราตายไปก็ไปแต่ตัวเปล่าๆแม้ ร่างกายของเราที่หวงที่แหนยิ่งนักเมื่อ ตายไปเขาก็เอาไปเผาเอาไปฝังตามหน้าที่ถ้า เขาไม่เผาไม่ฝังมันก็เปื่อยก็เน่าไปตาม สภาพของ ทาสที่มันไม่มีทางที่จะคงอยู่ได้ชั่ว นิรันดร์ถ้าหากว่าพิจารณาไปตามธรรมได้ อย่างนี้แล้วจิตใจที่โลภอยากได้นั่นอยาก ได้นี่อย่างนี้มันเกินขอบเขตมันก็พอที่จะ สงบระงับได้เพราะตายไปแล้วก็เอาอะไรไปไม่ ได้เลยสุขมันไม่ใช่ของใครมันเกิดขึ้นมา เพียงประเดี๋ยวประดาวแล้วมันก็หายไป เดี๋ยวทุกข์ อื่นมันก็เกิดขึ้นมาแทน แล้วมันก็จะหายไปสุขทุกข์ไม่ใช่ของใคร ทั้งนั้นมันไม่ใช่ของใครทั้งหมดทั้ง สิ้นมันเป็นของประจำกายอยู่อย่างนั้นกาย มันไม่เที่ยงสุขทุกข์มันก็ไม่เที่ยงเช่น กันมันเกิดขึ้นได้มันก็ดับลงเองได้มัน เป็น อนัตตาไม่มีตัวตนเราจงลองสังเกตเราดูซิ ว่าสมมุติว่าตอนนี้มันมี สุขจากอะไรสุขจากการ ได้สิ่งของสมดั่งใจลองเฝ้าดูใจของตัวเอง ดูสิว่าสุขนี้มันจะพาใจไปได้นานเท่า ไหร 1 ช่มง 2 ชั่วโมงหรือ 1 วัน 2 วันดูซิว่าสุขนี้มันจะคงอยู่ที่ยังอยู่ ตรงนั้นอยู่หรือ เปล่าหากเราเฝ้าดูเราจะเห็นความปรวนแปร เปลี่ยนแปลงเดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ปนเปกัน ไปนั่นแหละท่านเรียกว่าความไม่ เที่ยงไม่ว่าสุขหรือว่าทุกข์ถ้ามันไม่ เที่ยงแท้มันก็จะคงที่ถาวรอยู่อย่างนี้ แต่ถ้าเราเห็นมันเป็นเรื่องเกิดมันดับ เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์มันไม่แน่นอนท่านจึง ว่ามันเป็น อนัตตาอนัตตาไม่ใช่ของที่ มีสุขทุกข์มันไม่มีตัว ตนแต่ทำไมมันมีอิทธิพลต่อใจกับ เราเหตุผลอะไรทำไมของไม่มีตัว ตนมันจึงมี อำนาจทำไมเราจึงปล่อยให้มันข่มเหงจิตใจ ของเราอยู่อย่างนี้แล้วก็เป็นอย่างนี้นับ ภพนับชาติมาไม่ ถ้วนเมื่อได้ฟังเช่นนี้เราต้องกลับมาถาม ใจตัวเองดูอีกครั้งว่าพอหรือยังพอได้หรือ ยังกับคำว่าสุขและ ทุกข์ถ้าหากว่าเบื่อแล้วก็จงหาวิธีละมัน เสียลดละความเห็นแก่ ตัวทุกคนมีอยู่ในนี้เป็นเพื่อนร่วมทางกัน คือเป็นเพื่อนร่วมทางของ อริยมรรคเราจงเดินในทางเส้นนี้มุ่งหน้าไป สู่การลดละความเห็นแก่ ตัวอะไรที่เป็นไปเพื่อความเห็นแก่ ตัวก็จงพยายามลดลับ สละออกไป เสียแล้วชีวิตของเราจะพบกับความเบา สบายเมื่อได้เกิดมาเป็นคนแล้วก็จงอย่า ประมาทอย่าหลงไปคิดว่าชาติหน้าฉันจะไป เกิดเป็นนั่นเป็นนี่เป็น เศรษฐีผู้รากมากมีเจ้าไม่ทุกข์เหมือนใน ชาติ นี้มั่นใจหรอเอาอะไรมาเป็นความมั่น ใจแต่ให้เราจงรู้ไว้อย่าง นี้ว่าชาติภพมันเป็นสิ่งที่ไม่แน่ นอนเราอย่าได้ไปคาด หวังเราจงใช้เวลาของเราที่ลมหายใจมันเดิน อยู่ นี่ให้มันมีความคุ้มค่าที่ สุดก็คือทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์สูง สุดถ้าจะคุ้ม 5 เอาเวลาไปทำอะไรซึ่งเป็นประโยชน์ขั้น ต่ำๆนั้นมันไม่คุ้มค่านักยกตัวอย่างเช่น เอาเวลาไปเที่ยวเล่นมันมีประโยชน์ มยถ้าถามอย่างนี้ก็ตอบได้เลยว่ามีมันสนุก ดีแต่มันก็ไม่คุ้มค่าสักเท่าไหร่มันเป็น ประโยชน์เพียงเล็กน้อยเท่านั้นแต่ถ้าเรา ทำสมาธิได้จนเข้าถึงสภาวะของความ สงบเราจะเห็นความสนุกความสุขจากทางโลก นั้นมันเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย มากทุกข์จากทุกข์กายมันคือความจริงเป็น สิ่งที่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงจะต้องได้ เผชิญทุกข์กายเป็น ปรมัตธรรมอย่างแท้ จริงแต่ทุกข์ที่ไม่จริงคือทุกข์ทางใจใจ มันหลงมันไม่เข้าใจในความจริงมันเลยเป็น ทุกข์เวลาของเราทุกๆคนทุกๆชีวิตใกล้จะหมด ลงแล้วถ้าเรายังไม่มีความรู้สึกตรงนี้ให้ ลองไปยืนดูตอนพระอาทิตย์ ตกลองดูนะตอนที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับ ขอบฟ้าเราจงย้อนกลับมาดูใจดูความรู้สึก ของเราว่าตอนที่มองพระ อาทิตย์ขณะที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าไป นั้นเราจะเห็นความเวิ้งว้างของจิตของ อารมณ์เราจะเห็นความรู้สึกของ เราเวลาของเราใกล้จะหมดลงทุกทีทุก ทีเหมือนกับแสงพระ อาทิตย์ที่กำลังจะลาลับอัสดงลงเราก็จะ กลับมาถามตัวเองดู ว่าตอนที่เราคงอยู่เราได้สร้างประโยชน์ อะไรไว้ให้แก่ตน บ้างอะไรที่มันไม่มีสาระก็ให้ทิ้งมันออก ไป เสียจงมีความกล้าหาญที่จะทิ้งมันออกไปไม่ ต้องอะไร อาวรณว่าจะวางตอนไหน ดีตอนไหนที่เราจะวางได้ดีที่สุดก็คือตอน นี้ ล่ะเดี๋ยวนี้ เลยรู้แล้วว่าอะไรเป็นทุกข์ก็ให้ปล่อยวาง ออกไปปล่อยมันไปเดี๋ยว นี้ก็เห็นความหลุดพ้น ได้เห็นความว่างเดี๋ยวนี้เช่น กันเราจะเอาอะไรกับโลกก็โลกไม่มีอะไรก็ โลกมันหลอกใช้เราเฉยๆสุดท้าย ทุกอย่างมันก็ว่างเปล่าเท่านั้นเมื่อเรา เห็นความว่างเปล่านั่นแหละคือ อนัตตามันไม่มีตัวมีตนคนโง่เท่านั้นที่จะ กอดที่จะยึดมั่นกับความว่างเปล่าเหล่า นั้นยึดไปทำไมยึดแล้วได้อะไรก็ได้แค่ความ ว่างเปล่า ไงแล้วจะเอาความว่างเปล่านั้นไปทำอะไรล่ะ ที นี้ท่านพอลีธรรมโรท่านได้กล่าวไว้ ว่าสุขก็มาจากความทุกข์นั่น เองความจริงของสุขก็มาจากความทุกข์นี่ แหละทุกข์ก็เกิดคือ สุขเมื่อสุขเกิดทุกข์ก็เป็น เงาเมื่อทุกข์เกิดสุขก็เป็นเงาทั้งสุข ทั้งทุกข์มันก็แอบแฝงกัน อยู่มันก็อยู่ในที่ที่เดียวกันนั่น แหละเมื่อเราไม่เข้าใจเช่น [เพลง] นั้นมันจึงกลายเป็น กิเลสอันหนึ่งคือกลืนอารมณ์นั่น เองความสบายความสงัดความ วิเวกความเย็นอันลึกซึ้งจับใจเกิดขึ้น แล้วก็เพลินไปตามอารมณ์นั้น ๆคือติดอยู่ในนามธรรมอันพอใจนั่น เองกาน้ำเก่าที่ขุขะสกปรกด้วยคราบสนิม ด้วยคราบสกปรกทั้งข้างนอกและข้าง ในการที่จะทำให้กาน้ำนั้นมันใสสะอาด เหมือนใหม่ ได้เราต้องใช้ความวิริยะความเพียรในการ นั่งขัด ต้องใช้เวลานั่งขัดอยู่เป็นเวลานานจนกว่า กาน้ำนั้นมันจะใสมันก็ต้องนั่งขัดอยู่กับ ที่ถ้ามัวย้ายไปนั่นย้ายไป นี่มันก็เสียเวลานั่งขัดอยู่ ดีท่านผู้รู้ได้บอกไว้ ว่าหน้าที่ทองเมื่อล้มตัวลงนอน หน้าทองช่วงหนึ่งคือเมื่อเราล้มตัวลงนอน น้อยนักที่จะหลับทัน ทีมักจะนอนคิดอะไรไปเรื่อย เปื่อยขอให้ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่มี ค่าเพื่อที่จะตามดู ดูจิตดูความคิดไปเรื่อยๆดูการเกิด ดับเกิดดับ จิตจะได้บริหารสติมีกำลังของสติเพิ่มขึ้น เองจนหลับไป เองสมาธิจะเกิดตอนหลับ ได้จิตจะสว่าง แจ่มใสแล้วจึงเดินพิจารณาต่อ เองปัญหาเรื่องขัดข้องที่ค้างขาดใจจะมีคำ ตอบ ให้ตอนนอนตอนหลับณช่วงเวลานี้แหละ จึงเรียกว่าช่วงเวลานาที ทองเราจงอย่าปล่อยช่วงเวลานี้ให้เสีย เปล่าประโยชน์ ไปอย่าไปเสียเวลาคิดจับผิดใครเอาเวลาอัน มีค่ามาจับผิดมาแก้ไขตัวเราใครเขาจะผิดจะ ถูกก็ปล่อยเป็นเรื่องของ เค้าเรื่องของเราคือโอปนยิโก น้อมเข้ามาอบรมจิตอย่ามัวแต่ไปสนใจกับ เรื่องของคน อื่นคำว่าคนที่แท้จริงแล้วไม่มีใครสูงไม่ มีใครต่ำ หรอกทุกคนก็มีที่สิ้นสุดที่จบด้วยกัน เหมือนๆกันไม่มีใครสูงส่งไม่มีใครต่ำ ต้อยที่มันสูงที่มันต่ำก็เพราะว่าใจพูด ผู้นั้นมันสูงและมันต่ำเท่า นั้นใครคิดว่าเขาสูงก็ปล่อยให้เขาสูงไป มันไม่เกี่ยวอะไรกับเราแต่ถ้าเราไปเกี่ยว มันจะมีอารมณ์พวกนี้เกิด ขึ้นอารมณ์โกรธ ไงในโกรธมันมีทั้งแค้นเคืองมันมีอิจฉา ริษยาแฝงอยู่ใน นั้นถ้าเราไม่มีสติ ไม่เคยฝึกสติไม่มีทางที่จะรู้ทัน มันหลวงพ่อ ชาสุภัทโธท่านจึงได้บอกไว้ ว่าอีแล้งบินได้สูงๆแต่เวลามันหิวมันก็ โฉบลงมากินของเน่าๆเหมือนกับคนที่มีการ ศึกษา สูงแต่พอตัณหามัน เกิดอะไรที่ต่ำกรรมเหมือนกับคนที่ไม่มี การศึกษาเลยมันก็เหมือนอี แล้งคนประเภทนั้น ธรรมชาติของจิตมันย่อมใสมันย่อมไหลไปสู่ ที่ ต่ำอะไรที่มันต่ำๆนี้มันคุ้นเคยกัน ดีเพราะมันเป็นอย่างนี้มาแล้วไม่รู้กี่ภพ กี่ ชาติจู่ๆวัน 1 จะทำให้มันดีสวนทางออกมา มันไม่ใช่เรื่องง่าย นะฝืนจิตฝืนใจขัดจิตขัดใจตนเองนั้นมันสวน กระแสแห่งใจของตัวเองมันเป็นทุกข์ที่ทน ได้ ยากสติเป็นสิ่งที่ต้องทำก่อนสิ่งอื่นใด สิ่งสำคัญคือประคับประคองจิตไม่ให้เป็น เดือดเป็นร้อนไปกับเหตุการณ์ร้าย ๆสติอ่อนเมื่อไหร่ใจก็โวยวายตีโพยตีพาย โทษคนนั้นโทษคนนี้จนลืมจัดการกับตัว เองทั้งๆที่เป็นสิ่งที่ต้องทำก่อนสิ่ง อื่น ใดฉะนั้นสติจะช่วยให้เรามองอะไรได้กว้าง ไกลมาก ขึ้นเวลามีอะไรมากระทบใจเราจะไม่ติดอยู่ กับอารมณ์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตรง นั้นเมื่อจิตไม่เข้าไปยึดอารมณ์จิตก็ว่าง รู้ที่ว่างรู้ที่ คิดถ้าหากว่าท่านผู้ใดขี้เกียจหรือไม่มี อะไรที่จะคิดก็ให้กำหนดดูจิตรู้ที่จิตเฉย ๆถ้าจิตว่างรู้ที่ความว่างถ้าจิตคิดรู้ ที่ความคิดว่าง รู้ที่ความคิดว่างคิดรู้ที่ความคิดไล่ตาม กัน ไปทำบ่อยๆทำไปเรื่อยๆเมื่อเราฝึกหัดจน เกิดความคล่องตัวจนเกิดความชำนิชำนาญแล้ว ทีหลังเราอาจจะไม่ได้ตั้งใจกำหนดรู้ อารมณ์จิตหรือดูความ คิดสติเขาจะทำหน้าที่ตามความรู้ตามคอยดู คอยควบคุมเองเมื่อเรามีสติ สัมปชัญญะจิตของเราก็รู้ว่าอะไรดีอะไร ชั่วอะไรผิดอะไร ถูกมันจะรู้ของมันขึ้นมา เองเมื่อจิตสงบผู้รู้จะเผยตัวแต่จิตจะสงบ ลงได้ก็ต้องอาศัย สติสติติจะเจริญได้ก็อาศัยลมหายใจ อานาปานสติ คือหนทางแห่งการตื่นรู้จงเพ่งเพียรเจริญ ให้มากทำให้มากผลก็จะเกิดขึ้นตามเหตุคำ ตอบทั้งหมดที่เราเคย สงสัยเราจะได้คำตอบใน นั้นใจเท่านั้นคือมหาเหตุ ดีแล้วบาปบุญก็ขึ้นอยู่ที่ใจเป็นเบื้อง ต้นบุญกุศลดีงามความดีก็เริ่มจากใจเริ่ม จากความ คิดเหตุใหญ่ก็อยู่ที่ใจนั่นแหละเออมนุษย์ คนเรานี่มีความกังวลแต่เรื่องเป็นเรื่อง อยู่เรื่องปากเรื่อง ท้องถ้าไม่มีสิ่งนี้เราจะอยู่อย่างไรถ้า ไม่มีสิ่ง นั้นเราจะหากินอย่าง ไรดูซิมันวิตกวิจารณ์อยู่แต่กับเรื่อง อยู่เรื่องกินลึกๆแล้วมนุษย์มันก็คิดมัน ก็ห่วงอยู่แต่เรื่องนี้ห่วงแต่ว่าตัวเอง จะอดตายไอ้ร่างกายนี้หนอเมื่อเกิดมาแล้ว ก็ต้องใช้มันก็ต้องหาเลี้ยงบำบำรุงดูแล มันบำรุงบำเรอมันทั้งๆที่มันก็เป็นแค่ เพียงธาตุ 4 ธาตุดินน้ำลมไฟเท่า นั้นเมื่อหาเลี้ยงมันมันก็แฝงไปด้วยความ ทุกข์มันก็จะทุกข์อยู่อย่างนี้ไปจนวันตาย มิน่าล่ะพระ พุทธองค์ท่านจึงตรัสว่าการเกิดเป็นทุกข์ อย่าง ยิ่งที่มันเป็น ทุกข์ก็ทุกข์เพราะหาอยู่หากินนี่แหละจาก นั้นทุกข์มันก็แตกแขนงออกไปมากมายเหลือ เกินเหลือใช้ก็เก็บสะสมสะสมเป็นสมบัติ ทรัพย์ สมบัติข้าวของเงินทองเรือนชานบ้านช่องรถ ราต่าง ๆพอมันมีมากเหลือกินเหลือใช้ก็เอามาอวด กันทีนี้มีมากก็คิดว่าตัวเองนั้นฐานะ ดีพ่อมีน้อยก็คิดว่าตัวเองนั้นยากจนก็ปน กัน ไปโจลกรรกัน ไปด้วยโลกธรรม 8 พอมีฐานะหน่อยก็บ้ายกยอ สรรเสริญพอยากจนหน่อยล้มเหลวก็ถูกโดนบน นินทาปุถุชนก็พากันเอาจิตเอาใจไปปนอยู่ กับ โลกกระทำ 8 อย่างนั้นพอยึดเอาโลกธรรม 8 เป็น สรณะเป็นสาระก็เห็นแก่ตัวกัน ไปทีนี้ก็เอาดีเอาชั่วมาอวดกันมา เบียดเบียน กันทั้งๆที่สิ่งอวดกันนั้นมันเป็นเพียง แค่แคบธาตุทั้ง 4 เท่า นั้นเมื่อถึงเวลาที่ธาตุ 4 มันแยกทางมัน แตกสลายออกจากกันมันก็ได้อะไรติดตัวไป เลยไม่มีหรอกไม่มีใครได้อะไรไปเลยคนเอ๋ย คนนี่มันน่าขำแท้จริง ๆหลวงพ่อพุทธนิยมว่าบัณฑิตผู้มีความฉลาด ย่อมไม่ดูหมิ่น บาปไม่ดูหมิ่นบุญแม้แต่เพียงเล็ก น้อยบาปนิดหน่อยบุญนิดหน่อยบัณฑิตย่อมไม่ ประมาทคำว่าสันโดษแปล ว่าความพอไม่ได้หมายความว่าพอเฉพาะเท่า ที่มีอยู่แต่พอตามสติปัญญาตามความสามารถ ของ ตนหลวงพ่อฤาษีลิง ท่านก็เคยได้กล่าวไว้ว่าอานิสงส์แห่งทาน ทั้ง 3 1 สังฆทานอานิสงส์ให้ได้ร่างกายเป็นทิพย์ 2 วิหารทานอานิสงส์ให้ได้วิมานเป็นทิพย์และ 3 ให้ทำเป็นทานอานิสงส์ได้ปัญญาเป็น ทิพย์การให้ทำเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนท่านก็เคยได้กล่าวไว้ ว่าเวลาที่คนเรามันจะตายจริงๆจิตใจจะจน ตรอกจน มุมแล้วในนาทีใกล้จะสุดท้ายจิตมันจะวิ่ง หาบาปหาบุญมันไม่ไปที่อื่นดอกในตอนนั้น สมบัติเงินทองข้าวของมีมากมีน้อยมันก็จะ ไม่สนใจมันจะสนใจตั้งแต่บาปกับบุญเท่า นั้นหากผู้ใดตอนที่ยังมีชีวิต อยู่สั่งสมในฝ่ายใดมามากฝ่ายนั้นแหละจะ เป็นเครื่องอยู่เครื่องพา ไปสั่งสมบาปมามากมันก็จะพาไปตามทางของ มันสั่งสมบุญมามากมันก็จะพาไปตามทิศทาง ของมันเช่น กันให้เราอยู่ด้วยไม่ต้องมีความรู้สึกว่า เราดีเราเด่นอะไรเพียงแต่ให้เรารู้สึกว่า เราเป็นผู้หนึ่งที่เป็นผู้มีประโยชน์ที่ สุดคนหนึ่งนั่นแหละถูกต้อง แล้วและการเป็นสุขแท้ให้เราได้เตือนตนทุก วันร่างกายนี้ที่แท้ก็แค่บานชักเข้าเพียง ชั่วคราวเข้าพำนักพักพิงใช้ระยะเวลาแค่ เพียง 30,000 วันพลันต้องยื่น คืนถึงเวลานั้นวิ่งวอนใครก็ไม่อาจจะขอต่อ สัญญาถึงมีหมอดีผี ดังก็อย่าหวังไป พึ่งเวลาถึงต้องจำพรากจากกันนั้นหนาๆทิ้ง ร่างกายไว้ให้กับโลกา สิ่งนำพาติดตัวไปได้เพียงชั่วดีการ พิจารณาก็คือการสังเกตแต่ไม่ใช่ไปคิดเอา เองบุคคลใดที่เห็นโทษของความคิดจึงไม่ เชื่อในความ คิดเป็นแค่เพียงผู้เฝ้าระวังความ คิดถึงแม้จะยังหยุดไม่ ได้ก็เห็นภัยของมันแล้วจึงเฝ้าสังเกตเฝ้า รักษาเป็นผู้ที่ไปรู้ว่ามันคิดนี่ แหละหากกายกับใจไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียว กันไม่สามัคคีกันมันก็ไม่รู้จักตัว เองผู้ใดไม่ยอมเรียนรู้ตัวเองย่อมเอาตัว เองนั้นมาเป็นเหยื่อของ อารมณ์ก็เพราะมีอารมณ์หลงอารมณ์นี่แหละ จึงทำร้ายร้ายตัวเองอยู่อย่างนี้ร่ำ ไปไม่ว่าคนหรือสัตว์ก็ ตามอารมณ์มันผ่านไปแล้วก็ผ่าน ไปทุกข์เพราะการไม่พอใจไม่พอไม่รู้ สัจธรรมความจริงไม่ ทุกข์ก็ให้มันรู้ ไปท่านพ่อ ลีธัมมทโรท่านได้เคยกล่าวโอวาทไว้ ว่ามันก็ไม่ต้องมีอะไรหรอกนี่แหละ นิพพานพระนิพพานไม่ใช่ของ ยากพระนิพพานนั้นไม่ได้อยู่ไกลตัวของพวก เราเลยอยู่ตรงปลายจมูกหรืออยู่ที่ริมฝี ปากแค่นั้นเองแต่พวกเรากลับพากันคลำหาไม่ พบเมื่อเราหวังจะเอาความบริสุทธิ์กันจริง ๆแล้วก็จงอย่าไปเอาอะไร อื่นตั้งหน้าตั้งตาทำความเพียร ไปทำมันอย่างนั้นท่าเดียวอะไรมันจะมาทาง ไหนก็ไม่เอาทั้งสิ้นสุขก็ไม่เอาทุกข์ก็ ไม่เอาดีก็ไม่เอาชั่วก็ไม่ เอาความได้ก็ไม่เอาความดีก็ไม่เอามรรคก็ ไม่เอาผลก็ไม่เอานิพพานก็ไม่เอาไม่เอา อะไรทั้งหมดเพราะการเอานั่นแหละคือการยึด ติดและเมื่อเราไม่เอาอะไรแล้วมันจะมีอะไร เล่ามันก็ไม่ต้องมีอะไรนี่ แหละพระนิพพานหรือที่เรียกกันว่า สูญญตาก็สูญมันไม่มีอะไรเหมือนกับพระ อานนท์ที่ท่านพยายามขวนขวายอยากจะได้พระ นิพพานอยากจะสำเร็จเป็นพระ อรหันต์จะเอาพระอรหันต์จะเอาพระ นิพพานเพื่อให้ทันการก่อน สังคยนาพระอานนท์ท่านก็ปฏิบัติอย่างตั้ง อกตั้ง ใจที่จะเอาพระนิพพานให้ได้ทำให้ตายก็ไม่ มีอะไรเกิดขึ้นก็เพราะว่าจิตของท่านไปติด ตัวอยากเมื่อเห็นว่าเร่งความเพียรมาทั้ง คืนแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นท่านจึงได้ละ ความอยากไม่เอาพระอรหันต์ไม่เอาพระนิพพาน ไม่เอาอะไรทั้งนั้นเหนื่อยแล้วท่านพอ แล้วแต่พอพระอานนท์จะพักผ่อนล้มหัวลงนอน หัวยังไม่ทันได้ถึงหมอนด้วยซ้ำความเป็น อรหันต์ผลพระนิพพานก็แจ่มแจ้ง ก็เพราะไม่เอาจึงได้ยิ่งอยากเอายิ่งไม่ ได้ความอยากนั่นแหละคือตัณหาคือ กิเลสตอนที่เรามีชีวิตอยู่สตินี่แหละ สำคัญเราควรที่จะหมั่นฝึกสติไม่ให้ลืมไม่ ให้ หลงให้เรามีศีลเป็น นิสัยศีลนี่แหละเป็น ปกติเป็นสิ่งที่จะพาเราไปสู่ความสงบเมื่อ ศีลมั่นคงเราก็จะมีสติมั่นคงเพราะศีลพา เราไปสู่ความเป็น ปกติความเป็นปกตินั่นแหละเราจึงมีสติดี ไม่มีอะไรคุ้มครองเราได้ดีเท่า สติผู้ใดมีสติมีสัมปชัญญะมั่นคงใจตั้ง มั่นนั่นแหละท่านเรียกว่า สมาธิคำว่า สมาธิไม่ใช่ว่านั่งหลับตาทำท่าทางเท่า นั้นสมาธิเกิดขึ้นได้อยู่ตลอดเวลาถ้ามีใจ ตั้งมั่นจะลืมตาอ้าปากเดินเหินนั่งนอนก็ สามารถเป็นสมาธิได้ทั้ง นั้นหลายคนมักจะพากันเข้าใจผิดว่าสมาธิ คือการนั่งหลับตาเฉยๆผู้เริ่มต้นก็คงจะ ต้องทำให้ได้อย่าง นั้นเพราะนั่นคือเป็นการฝึกฝึกให้จิตมัน รู้จักสมาธิ ก่อนบางทีก็เป็นจุดอ่อนสำหรับใครหลายๆ คนบางคนก็พูดโอ้อวดว่าตนนั่งสมาธิได้ ชั่วโมง 2 ชั่วโมง 3 ชั่วโมงบางคนก็ได้มากกว่า นั้นหรือแม้แต่บางคนได้แค่ชั่วโมงบางคน เมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็เกิดศรัทธาก็พากัน หลงว่าการที่ผู้ใดสามารถนั่งสมาธิได้นานๆ นั้นผู้นั้นเป็นคน เก่งผู้นั้นเข้าถึง ธรรมยิ่งนั่งไปได้เห็นภาพนั้นภาพนี้ตรง นี้มันคือจุดบอบบางระหว่างความหลงกับความ รู้บางคนก็เห็นตนเคยเป็นนั่นเป็นนี่ตรง นี้แหละก็จะสำคัญตนขึ้นมาครูบาอาจารย์ ท่านไม่ให้ความสำคัญไม่ให้ดูตรงนั้นให้ กลับมาดูตรงที่จิตของเรามันหลงใหลไหมมัน ไปยึดติดกับภาพนิมิตต่างๆนั้นมยถ้ายังหลง ว่าตนเป็นแบบนั้นยังเป็นนั่นเป็นนี่เคย เป็นอะไรอย่างที่ตนเองคิดไปยังใช้ไม่ได้ ผู้ที่ยังมีจิตใจไม่มั่นคงจิตสำรอกกิเลส ออกมายังไม่หมดตรงนี้แหละจะพากันโดนกิเลส หลอกเอากิเลสมันอาจจะสร้างภาพนิมิตขึ้นมา หลอกเรา ได้ถ้าเราได้ไปฝึกกับครูบาอาจารย์ที่ท่าน ชำนาญท่านก็จะบอกเราว่าอย่าเพิ่งไปสนใจ นิมิตนิมิตมันจะจริงหรือไม่จริงเราอย่า เพิ่งไปให้ความสำคัญเดี๋ยวมันจะเป็นการ ยึดติดให้เรามาดูอาการของจิตอาการของมัน เคลื่อนไปกับความหลงหรือไม่ตรงนี้แหละสติ สัมปชัญญะผู้ที่ฝึกมาดีจะมีประโยชน์รู้ เท่าทันอาการเมื่อมันรู้ทันกันมันก็ไม่ หลงไง เมื่อมันไม่หลงไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจะ เป็นภาพนิมิตที่แปลกพิสดารเพียงใดใจมันก็ จะเป็นแค่ เพียงจัดแต่ว่าเห็นเท่านั้นเห็นรู้แต่ไม่ เป็นผู้ไปเป็นเจ้าของไม่เข้าไปยึดครองภาพ นั้นเพราะใจมันมีสติควบคุมกำกับอยู่มัน จึงรู้ว่าการยึดการครอบครองมันเป็นของ หนักมันหนักหน่วงมากนะใจดวงนี้ไม่ว่าจะไป รักก็ตามไปโกรธก็ตามล้วนเป็นพิษเป็นภัย ต่อจิตต่อใจทั้ง นั้นพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลายๆท่านที่ท่าน เข้าถึงแล้วท่านมักจะพูดเป็นเสียงเดียว กันว่ารู้เท่าทันจึงวางได้รู้ไม่เท่าทัน จึงยึด ติดใครจะชังก็ช่างเขาใครว่าเราไม่ดีมันก็ เป็นกรรมของเขาถ้าเขาพูดแต่สิ่งดีๆมันก็ เป็นบุญของเขาเราเพียงอยู่เฉยๆอย่าไป สร้างกรรมต่อกันอีกตัดภพตัดชาติตัดให้ขาด ก็ตัดกันเพียงเท่านี้มันไม่มีอะไรหรอกที่ มันมีก็เพราะพวกเราโดนความคิดมันหลอก หลอนให้สำคัญมั่นหมายกับอัตตาตัวตนพอ อัตราตัวตนโดนกระทบหน่อยก็เป็นเดือดเป็น ร้อนเป็นทุกข์สมาธิไม่ใช่สิ่งที่ควรยึด ติดยึด มั่นแต่ก็ต้องอาศัยสมาธิเพื่อให้จิตเข้า ถึงความสงบเสียก่อนให้จิตมันได้ สัมผัสให้มันได้รับรู้กับอารมณ์สงบ เมื่อมันเข้าถึงความสงบได้จิตมันก็เข้า ใจการฝึกสมาธิข้างต้นนั้นผู้ฝึกใหม่จึง จำเป็นจะต้องมีครูบาอาจารย์คอยควบคุมคอย กำกับคอยชี้ทางให้เราจึงจะได้ไม่หลงใน สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในสมาธิตรง นี้จะยกตัวอย่างขึ้นมาให้ผู้ฟังได้เห็น ว่าคนที่หลงนิมิตที่เห็นในสมาธิมันเป็น อย่างไรตรงนี้ผู้เล่าขอหยิบเอาคำพูดของ หลวงพ่อ วิชัยรัตนโชโตแห่งสวนป่าแสงธรรม โพธิญาณมาเล่าประสบการณ์คนที่เคยมาฝึกกับ ท่านมีผู้หญิงคนนึงเดินทางมาจากทางไกลมา ขอคำชี้แนะฝากตัวเป็นลูกศิษย์กับท่านหลวง พ่อท่านเล่าว่าผู้หญิงคนนี้เคยฝึกมาหลาย ที่แล้วผ่านครูบาอาจารย์มาก็หลายท่านแล้ว เขาฝึกสมาธิแล้วก็นั่งสมาธิได้นานนั่งแต่ สมาธิทีไรนิมิตของ อดีตชาติก็เกิด ขึ้นเขาก็มาบอกกับหลวงพ่อวิชัยว่าเขาได้ อดีตคัตสหารเป็นญาณอย่างรู้ใน อดีตชาติคนอื่นที่ไม่รู้ฟังดูเขาก็คงจะ เชื่อแต่สำหรับ ท่านก็ให้คำแนะนำกับผู้หญิงคนนั้นว่าโยม เห็นแล้วเกิดความเบื่อหน่ายในการเวียน ว่ายตายเกิดมั้ยเห็นทุกข์ในสังสารวัฏนี้ ไหมแทนที่ผู้หญิงคนนั้นเขาจะเข้าใจและตอบ ให้ตรงคำถามเขากลับกล่าวอ้างตนขึ้นมา ว่าตนเองเคยเกิดเป็นพญานาคมาก่อนแต่หลวง พ่อท่านก็พูดดักเอาไว้ว่าเออโยมโยมจะเป็น นาคเป็นครุฑเป็นอะไรมาก่อนก็ช่างแต่ ปัจจุบันนี้จิตใจของโยมมันพ้นทุกข์หรือ ยังพอหลวงพ่อพูดจบผู้หญิงคนนั้นก็เริ่ม ไม่เป็นตัวของตัวเองยกมือพนมขึ้นเหนือ ศีรษะแล้วก็เริ่มที่จะมีท่าทาง ชอนชัยตัวเริ่มอ่อนปลวกเปียกหลังจากนั้น ก็โน้มตัวลงมาที่พื้นนอนราบกับพื้นแล้วก็ ชอนชายไปเหมือนงูมือที่พนมมือว่ายเหนือ ศีรษะก็แทนเหมือนกับว่าเป็นหงอนของพญา นาคหลวงพ่อท่านเห็นดังนั้นท่านก็นั่งขำ แล้วก็นึกสมเพชเวทนากับปัญญาของ คนเอ้าๆเป็นคนดีๆอยู่อยากไปเป็นงูเป็น สัตว์เดรัจฉานซะงั้นแล้วมันดูดีดูเท่ตรง ไหนคนเดินได้ด้วยขาอยู่ดีๆไปไหนมาไหนด้วย ขามันก็สะดวกสบายอยู่ดีๆไม่ ว่ากลับลงไปนอนเกลิกกลิ้งอยู่กับพื้นดิน ให้ตัวสกปรกมอมแหม่มเอ้าๆสติสัมปชัญญะ อยู่ไหนท่านก็ให้ผู้หญิงคนนั้นเลื้อยไป ตามภาษาของ เขาหลวงพ่อก็พูดว่าเดี๋ยวมันเหนื่อย เดี๋ยวมันก็หยุดเองนั่นแหละเห็นมั้ยญาติ โยมแม้แต่ตัวเองยังไม่ รู้แล้วจะไปศึกษาตัวเองให้รู้ได้อย่าง ผู้ฝึกผู้ ปฏิบัติควรรู้สึกอยู่กับตัวเองไม่ใช่เอา สิ่งอื่นมาเป็นตัวเองอย่างนี้แหละเขา เรียกว่า หลงพอผู้หญิงคนนั้นรู้สึกตัวกลับคืนมา หลวงพ่อท่านก็สอนผู้หญิงคนนั้นว่าต่อไป นี้โยมอย่านั่ง สมาธิถ้านั่งแล้วเพี้ยนแบบนี้อย่า นั่งท่านเรียกว่ามัน วิปราชหลวงพ่อท่านสอนผู้หญิงคนนั้นให้ทำ ใจวาง เฉยอะไรที่ปรากฏขึ้นต่อจิตต่อใจจะเป็นภาพ พญานาคหรือเป็นภาพอะไรก็แล้ว แต่ให้รู้จักการวางเฉยรู้ทันตั้งแต่ตื่น ตอนเช้าเอาไปจนถึงยามค่ำยามหลับรู้ทัน อย่างนี้ไปเรื่อยๆรู้แล้ววางรู้แล้ววาง ให้โยมทำแบบนี้ไม่ต้องหลับตาทำสมาธิไม่ ต้องไปยุบหนอพองหนอไม่ต้องไปพุทโธไม่ต้อง ไปบริกรรมอะไรทั้ง นั้นรู้แล้ววางเฉยอะไรที่ปรากฏขึ้นต่อจิต ต่อใจในขณะ นั้นรู้เห็นปล่อยวางตอนที่มันหลงตอนที่ มันจะเข้าไปยึดก็ให้ไม่รู้ถ้าโยมทำได้ อย่างนี้หลวงพ่อจะชื่นใจเป็นอย่าง มากพญานาคน่ะเอาไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยเป็น ค่อยไปก็ได้เป็นตอนไหนก็ไม่สายหรอกโยม [เพลง] ธรรมะก่อนนอนหลวงตาฝากบอกไว้ต่อไปนี้จง พร้อมใจพากันตั้งใจเอาความตั้งใจของทุกคน เพราะความตั้งใจนี้เมื่อตั้งใจได้แล้วจะ เป็นผลประโยชน์ได้มากอย่าให้เสียผลเสีย ประโยชน์โดยเปล่านี่เราได้เกิดมาพบพระ พุทธศาสนาก็ไม่ใช่ว่าเราเกิดมาโดยบังเอิญ เมื่อได้มาเกิดในดินแดนนี้ย่อมมีบารมี เป็นปัจจัยมีเจตนาที่จะเพิ่มพูนบุญญา บารมีของตนเพื่อเดินทางไปสู่การหลุด พ้นหลวงตาฝากไว้ว่าต้องไม่ชอบหอบไม่ชอบขน ต้องไม่ชอบบ่นไม่ชอบคิดต้องไม่ชอบติดไม่ ชอบยุ่งเมื่อตอนที่เรา มาเราก็มากันแต่ตัวไม่ได้เอาอะไรติดตัวมา เลยทุกคนก็มาด้วย 2 องค์มือเปล่าทั้งนั้น เมื่อเรามาแล้วก็ต้องอาศัยสิ่งอื่นเป็น เครื่องอยู่ อยู่เพื่อให้สามารถดำรงลงชีวิตอยู่ได้เรา ไม่สามารถอยู่แบบลอยๆโดยไม่อาศัยสิ่งอื่น หรือปัจจัยอื่นเริ่มแรกก็มาอาศัยอยู่ใน ท้องของแม่ถึง 9 เดือนก็ได้อาศัยธาตุ 4 ธาตุของแม่ได้แก่เลือดน้ำเหลืองของแม่นี่ แหละมาหล่อเลี้ยงร่างกายเพื่อหล่อเลี้ยง ชีวิตของเราเพื่อให้เราเจริญเติบโตมีหัว มีตามีปากปากมีแขนมี ขามารดาต้องคอยระแวดระวังตอนที่เราอาศัย อยู่ในท้องของ ท่านท่านจะเดินจะเหินจะนั่งจะนอนจะอยู่จะ กินท่านก็คอยระแวดระวังเพื่อให้เราปลอด ภัยจวบจนเมื่อเราโตเต็มที่เกินกว่าจะอยู่ ในท้องของมารดาเราได้เราก็เรียกสภาวะต่อ ไปว่าการเกิดซึ่งความจริงมันก็คือการตาย จากสภาวะเดิมไปสู่สภาวะใหม่อันเนื่องมา จากความเปลี่ยนแปลงไม่คงสภาพและทนอยู่ใน สภาวะเดิมนั้นไม่ได้เห็นมั้ยมันไม่เที่ยง ตั้งแต่แรก เลยเมื่อได้เกิดมาเป็นคนแล้วก็อาศัยธาตุ ทั้ง 4 ของโลกก็คือดินน้ำลมไฟที่เรียกว่า เป็นธาตุของโลกเป็นธาตุของแผ่น ดินมาเป็นใจเสริมให้เราได้ดื่มได้กิน เพื่อให้เรานั้นเติบโตแข็งแรงเมื่อมีร่าง กายเติบโตแข็งแรงดีแล้วเราก็พากันเข้าใจ ว่าเรามาเพื่อแสวงหาเพื่อให้เรามีวัตถุ สิ่งของมากๆมีงานที่ดีมีเงินที่มากมี ครอบครัวมีภรรยามีสามี มีลูกมีความสุขสบายในบ้านปลายของชีวิต แล้วในท้ายสุดเราก็ตายจากโลกนี้ไปก็ถือ ว่าจบสิ้นกัน ไปเห็นมยตั้งแต่แรกเริ่มปฏิสนธิจนเป็นตัว เป็นตนและคลอดคลานออกมาจากท้องมารดาจน เติบใหญ่แก่ชราแล้วก็ตายไปเห็นมั้ยมีอะไร ที่เที่ยงแท้แน่นอนบ้างทุกสิ่งทุกอย่าง เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพไปตามกาลและเวลาไม่ มีอะไรเที่ยงแท้คงทนเสถียรภาพเคลื่อนจาก การเกิดไปสู่การแก่แก่แล้วก็เจ็บเจ็บแล้ว ก็ตายเราจะวนเวียนซ้ำๆอยู่แบบนี้อย่างไม่ มีที่สิ้นสุดจะมีใครสักกี่คนที่คิดจะหยุด มันหยุดวงวงจรของการเกิดแก่เจ็บตายวงจร นี้พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าวงจรแห่งกอง ทุกข์ในความจริงหน้าที่ที่สำคัญที่สุดใน การมาของเราที่พวกเราไม่ค่อยได้นึกถึงกัน ก็คือที่เรามายังโลกนี้ก็มาเพื่อสร้างบุญ บารมีมาเพื่อตัดภพตัดชาติให้มันสั้นลงถ้า มาแล้วเรายังตัดภพตัดชาติไม่หมดแต่บุญ บารมีที่เราสะสมไปนี้มันก็จะเป็นเสบียง ที่ติดตัวเราและสะสมไปแบบข้ามภพข้ามชาติ และแล้วเมื่อถึงวันหนึ่งที่เราจะต้องจาก ไปเราต้องหันหลังกลับมาดูในวันที่เรามา เราย่อมมองไม่เห็นเลยว่าตอนเกิดมานั้นเรา เอาอะไรมาด้วยเมื่อถึงวันที่เราจากไปเรา ก็มองไม่เห็นอีกเหมือนกันว่าเราจะเอาอะไร ไป ด้วยเรารู้แต่ว่าเรามามือเปล่าเราก็ต้อง จากไปแบบมือเปล่าๆตอนเรามาเรากำมือมาเป็น การบ่งบอกว่าเรามาเพื่อที่จะเอามาเพื่อ ที่จะสะสมมายึดมาถือมาครอบครองไว้ให้เป็น ของเราเมื่อได้ของเหล่านั้นมาสมดังใจแล้ว เราก็ดีใจเราเป็นสุขเมื่อเราได้ครอบครอง ในสิ่งนั้นสมปรารถนาดังใจเราจึงพากันกรอบ โกยกวาดต้อนเบียดเบียนทั้งผู้อื่นและที่ สำคัญเบียดเบียนตัวเองด้วยเพื่อให้ได้ สิ่งนั้นมาครอบครองแต่พอตอนไปก็เห็นแต่ เราแบมือไปเป็นการบ่งบอกว่าเราเอาอะไรไป ไม่ได้ เลยเรามาสะสมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้แต่เรา ก็เอามันไปไม่ได้สักอันลูกหลานและคนอัน เป็นที่รักของ เขาเคให้คืนเราตอบแทนเรามาก็แค่น้ำเย็นใส ๆที่ราดมือที่กำลังแบกของเราเท่านั้นทุก สิ่งทุกอย่างที่เราสร้างมากับมือเราต้อง ยอมรับเราต้องตัดใจทิ้งไว้ให้คนข้างหลัง เขาดูแลและไม่นานของเราที่เรารักเราหวง หนักหนามันก็จะเปลี่ยนแปลงสถานะไปอยู่ใน มือของคนอื่นและตกทอดกันไปจากรุ่นสู่รุ่น จากสกุลเดิมของเราก็จะกลายไปอยู่ในมือของ สกุลอื่นจนกว่าสิ่งของเหล่านั้นถูกวัน เวลากลืนกินและมันก็จะกลับกลายเสื่อมสลาย กลายเป็นสภาพเดิมคือธาตุทั้ง 4 ทรัพย์สิน เงินทองลูกหลานบริวารของเราก็ต้องยอมตัด ใจทิ้งไว้หมดเราแบกอะไรไปด้วยไม่ได้เลยที นี้เราต้องหันมาถามตัวเองดูสิว่าเรามาทำ อะไรที่โลกใบ นี้มีแต่อริยทรัพย์ที่จะติดตามเรา ไปอริยทรัพย์เป็นทรัพย์ที่ไม่ได้มีความ หนัก อะไรเป็นทรัพย์ที่มีแต่ความเบาสบายที่จะ สามารถติดตามไปกับจิตกับใจของเราได้เท่า นั้นหลวงตาท่านได้ฝากบอกว่าถ้าเรามาเรามา แบกอะไรเอาไว้เยอะแยะเรามาแบกความโลภแบก ความโกรธแบกความหลงแบกทรัพย์สมบัติแบกลูก แบกหลานแบกสามี ภรรยาเมื่อเราแบกมันนานๆเราก็หนักเราก็ เหนื่อยอุปมาดูสิว่าเมื่อเราแบกของหนัก อย่างนี้นานๆเราจะเดินไปไกลได้สักกี่ก้าว ก้าวแรกก็หนักประมาณนี้ก้าวที่ 2 ก็หนัก ขึ้นไปเรื่อยๆมันคงจะหนักจนเราทนไม่ไหวจน มันเกิดทุกข์ทั้งกายและ ใจหลวงตาท่านบอกว่าการที่เราแบกอะไรไว้ เยอะๆจะทำให้เราก้าวไม่ พ้น 4 เป็นก้าวที่สำคัญซึ่งมีดังนี้คืออบาย ภูมิ 4 ภูมินี้ท่านเรียกว่าอบายภูมิเป็นภพ ภูมิของสัตว์นรก อสุรกายสัตว์ เดรัจฉานคำว่าอบายภูมิคือภพภูมิที่ไปอยู่ แล้วไม่สบายไม่มีความสบายไม่มีความเย็นอก เย็นใจเย็นกายเลยแม้แต่สักวินาทีเดียว เป็นภพภูมิที่ทุกข์ที่ทรมานอย่าง ยิ่งหากว่าเราก้าวพ้น 4 ก้าวนี้หรือทั้ง 4 ภพภูมินี้ไปได้เราก็จะไปสู่ภพภูมิที่ไป อยู่แล้วเป็นสุขคือภพภูมิของมนุษย์เป็น ต้น ไปจนถึงสวรรค์จาตุดม ดาวดึงส์แล้วไล่ไปถึงลำดับจนถึงชั้นพรหม แต่ละชั้นก็มีความสุขที่แตกต่างกันตาม ทรัพย์ที่เราได้กระทำไว้เป็น เสบียงส่งผลตั้งแต่ตอนที่เรายังมีชีวิต อยู่คนบางคนแบกโทสะหรือความโกรธไว้เต็ม หัวใจหัวใจดวงนี้มีแต่ความเครียดมีแต่ ความเกลียดความแค้นชิ่งชังสะสมไว้อย่าง พอกพูนแล้วก็เหนียว แน่นหากเราแบกสิ่งเหล่านี้ไว้เราก็จะไป ไม่ถึงไม่ถึงไหนกันเลยเราก็จะหมดแรงตั้ง แต่ก้าวแรกคือตกไปอยู่ในภพภูมิของสัตว์ นรกนอกจากจะได้พบกับความอดอยากแล้วยัง ต้องได้รับทุกข์ทรมาน จากกรรมที่ตนได้ทำไว้สมัยที่มีชีวิตอยู่ อีกต่างหากบางคนสะสมความโลภไว้เยอะแยะมาก มายอยากได้โน่นอยากได้นี่อยากได้นั่นและ บางครั้งก็อยากได้ของที่ไม่ใช่ของของตน อีกต่างหากคนประเภทนี้เมื่อถึงวันที่จะ ต้องจากไปก็ไปได้ไม่เกิน 2-3 ก้าวก็หมด แรง เรียกได้ว่าก้าวข้ามไม่พ้นภพภูมิของ อสูรกายจึงทำให้เขาผู้นั้นมีแต่ความหิว โหยอดอยากปากแห้งอยู่ร่ำไปและมีคนอีกมาก มายที่ชื่นชอบสิ่งที่เราเรียกว่าโมหะหรือ ความหลงนั่นเองหลงรักหลง ชอบคิดว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ดีและยังสะสมไม่ ว่าจะสะสมสมทรัพย์สมบัติแก้วแหวนเงินทอง บางคนก็หลงติดกับแสงสีเสียงสิ่งสวยงามบาง คนก็ติดลูกติดหลานเป็นห่วงและหวงการแบก ภาระแบบนี้จะทำให้เราก้าวไม่พ้นก้าวที่ 4 คือไม่สามารถล่วงพ้นภพภูมิของสัตว์ เดรัจฉานมีชีวิตเหมือนกับมนุษย์เราแต่เขา ไม่มีปัญญาเคยได้ยินมว่าบางคนตอนตายก็ยัง เป็นห่วงลูกห่วงหลานคนนั้นคนนี้ซึ่งก็ยัง เรียนไม่จบคนนี้ยังไม่ได้แต่งงานคนโน้น ยังไม่ได้ทำงานทำงานแล้วก็กลัวว่าจะไม่ เจริญ รุ่งเรืองกลัวว่าทรัพย์สมบัติที่มีที่ตน หาไว้ลูกหลานพวกเขาจะใช้ไม่เป็นหรือไม่ก็ จะทำให้ธุรกิจร่มจมเสียหายคิดและเป็นห่วง ให้วุ่นวายไปหมดจิตใจมีแต่ความร้อนลุ่มหา ความสงบร่มเย็นไม่ได้เลยก็เพราะว่าเอาใจ ไปห่วงในสิ่งที่ต่างๆที่หลวงตาได้บอก ไว้ว่าเมื่อคนนี้ตายไปก็จะไปเกิดเป็น จิ้งจกเป็น ตุ๊กแกหรือแม้แต่เป็นหมาเฝ้าบ้านเรือนก็ มีก็เพราะว่าจิตดวงสุดท้ายของเขาเฝ้าแต่ เป็นห่วงห่วงลูกห่วงหลานห่วงทรัพย์สมบัติ ของตนจึงหนีไม่พ้นที่จะต้องได้กลับมาเฝ้า แต่ลูกหลานของ เขาคงไม่รู้หรอกว่าบุพการของพวกเขานั้น กลับมาเกิดในสภาพใดลูกหลานดีเขาก็เลี้ยง ดูแลลูกหลานไม่ดีเขาก็ค้อนตีค้อนฆ่าฟังดู แล้วมันช่างเน่าเวทนายิ่งนักก็คือคนผู้ นั้นไปไม่พ้นภพภูมิของสัตว์เดรัจฉานนั่น เองแล้วถ้าถามว่าเราตระหนักรู้ถึงความโชค ดีของเรามั้ยโชคดีที่ ว่าโชคดีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์มีชีวิตและ มี ปัญญาอย่าง พร้อมใช้งานอยู่ตลอดเวลาหรือเรายังมวลหลง ระเริง อยู่กับการสอดแสวงหาในสิ่งที่มันไม่มั่น คงไม่ยั่งยืนให้เป็นโทษให้เป็นทุกข์กัน อยู่ อีกหลวงตาท่านยังย้ำอีกว่าตอนมาเรามาดีมา เป็นมนุษย์แต่ตอนเราจะไปนั้นพากันเลือก แล้วหรือยังลองถามตัวเองให้ดีว่าตอนนี้ เราแบกอะไรไว้มันหนักแค่ไหนแล้วเราวาง อะไรได้บ้างหรือยัง ยังไม่คิดที่จะวางคิดเพียงแค่แต่จะสะสม ให้มันพอกพูนไปเรื่อยๆด้วยคิดว่าเวลาของ เราเหลือน้อยเราต้องเร่งขวนขวายเร่งกรอบ โกยให้ได้มากที่สุดเราก็รู้กันอยู่แล้ว ว่าตอนตายนั้นเราเอาอะไรไปไม่ได้เลยแล้ว ทำไมยังคิดจะสะสมกันอยู่อีกคำว่ากลัวยาก จนอยากได้อยากเสียดายหรือเป็นห่วงลูก หลานสิ่งเหล่านี้มันอาจจะทำให้เราพลาดกับ โอกาสดีๆที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์กับเขาสัก ครั้ง หนึ่งหรือว่าเรายังไม่อยาก เชื่อยังลังเลสงสัยหรือยังไม่อยากจะคิด ถึงผลของความโลภโกรธหลงว่าสิ่งที่พูดมา นี้มันมีจริงอยู่หรอก รึสิ่งที่เราควรสะสมควรที่จะเจริญให้มาก เรากลับพากันมองข้ามและคิดว่ามันเป็น เรื่องที่ไกลตัวเพ้อเจ้อไร้สาระไร้ ประโยชน์และก็เสีย เวลาแต่หลายคนกลับคิดว่าสาระของชีวิตเขา นั่นคือทรัพย์สินเงินทองคือสมบัติที่พ่อ กู เขาคงลืมไปแล้วว่าสิ่งที่เราควรสะสมก็คือ ทรัพย์ภายในไม่ใช่ทรัพย์ภาย นอกความหมายของทรัพย์ภายในที่เรามักจะได้ ยินกันคุ้นหูนั่นก็คือบุญวาสนาหรือว่าบุญ บารมีนั่นเองถ้าหากว่าเราละวางได้และไม่ แบกอะไรเลยเราก็จะเบาสบายและเดินไปได้ไกล ที่สุดโดยไม่ต้องกลับมาเกิดอีกเลย นิพพานังปัจจะโยโหตุอยากได้แต่ไม่อยาก เป็นแต่ไม่อยากเห็นจะไม่เห็นถ้าไม่อยากก็ อยากใจนี้เป็นของยากที่สุดตั้งใจให้ดีพาก เพียรให้มากคือการกำหนดภาวนาให้ยินดีพอใจ แต่ไม่ใช่ไม่อยากเต็มใจ ทำตั้งใจทำความเพียรของตนจะได้หรือไม่ได้ จะเป็นหรือไม่เป็นจะเห็นหรือไม่เห็นก็สุด เหตุแล้วแต่มันจะเป็น ไปหน้าที่ของเราคือตั้งใจทำเท่านั้นหลง ความคิดคือหลงเงาแห่งตัวแห่ง ตนมีสติรู้เท่าทันความคิดนั่นคืออริยชน เกิดขึ้น แล้วถ้าความรู้สึกของเรายังมีความปรุง แต่งอยู่ธรรมชาติของมันก็ย่อมมีการตัดสิน หลงเข้าไปตัดสินในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เลยมีแต่โทษมีแต่ ทุกข์ยกตัวอย่างเช่นเรานั่งดูข่าวบนทีวี เห็นมีข่าวคดี สำคัญเห็นผู้หญิงคนหนึ่งคบกับชู้ แล้วว่าผัวของตัวเองถ้าจะเอาตามกระแส สังคมคนส่วนใหญ่ก็จะปล่อยความคิดปล่อยใจ ให้มันไหลไปกับข่าวนั้นแล้วเข้าไปตัดสิน ชี้มูลต่างๆบางคนถึงกับมีใจเป็นทุกข์ไป กับข่าวนั้นด้วยนั่นแหละคือการปรุงแต่ง คือการเข้าไปตัดสินทั้งๆที่มันไม่เกี่ยว กับเราเลยเราเป็นได้แค่เพียงคนนั่งดูทีวี ดูข่าวเท่านั้นตาเห็นภาพหูได้ฟังเสียง นั่นแหละ รูปขันธ์เกิดขึ้นทั้ง 2 ทางทั้งทางตาและ ทาง หูหูวิญญาณตัวรับรู้ก็นำเข้ามาสู่สัญญา ขันธ์จำได้หมายรู้ส่งต่อไปยังสังขารขันธ์ ตรงนี้แหละสำคัญที่สุดความคิดความปรุง แต่งมันอยู่ตรงนี้ตรงสังขารขันธ์นี่แหละ ที่จะเป็นตัวแปรความเพิ่มพูนไปในสู่ทิศ ทางที่ต่ำลงก็นำภาพเรื่องราวของข่าวนั้น มาปรุงแต่งตรงนี้แล้วถูกส่งต่อไปยังเวทนา ขันธ์พอเวทนาขันธ์ทำงานตอนนี้อารมณ์ก็ เกิด ใจก็เข้าไปเสวยอารมณ์ ทำให้มีอารมณ์ร่วมกับข่าวเกิดอาการหมั่น เขี้ยวหมั่นไส้โกรธคับแค้นอารมณ์ก็เป็น ทุกข์จิตใจเราก็เศร้า หมองสาเหตุที่เป็นเช่นนี้มันไม่ได้มาจาก ข่าวซึ่งข่าวเขาก็ทำหน้าที่ของข่าวไปแต่ ใจของเรานี่แหละที่หลงไปเกาะเกี่ยวแล้วนำ มาปรุง แต่งต่อเมื่อใจของเราไปก่อเกี่ยวมีส่วน ร่วมกับเขานั้นเมื่อจิตมันมีอาการมันก็ แสดงออกมาจิตนี้แสดงออกมาสู่ภายนอกด้วย วาจาเกิดการนินทาวิพากษ์วิจารณ์ ไปที่อธิบายมานี้คือการทำงานของขันธ์ทั้ง 5 ถ้าหากว่าเรารู้ทันในการทำงานของขันธ์ 5 นี้เราจะตัดวงจรปฏิสมุดบาทออกไปได้คน โง่คนผ่านไม่เห็นทานเพราะกลัว จนวิสัยบัณฑิตชนกลัวยากจนจึงทำให้ทานการ ปฏิบัติอย่าพากันเข้าใจผิดว่าต้องทำเพื่อ ความมั่นคงของชีวิตในภายภาค หน้าอันความมั่นคงนั้นมันไม่มีอยู่จริง หรอกตายได้ทุก เมื่อเราเห็นทุกข์นั่นแหละเราจะเห็นต้นตอ ของสิ่งทั้ง ปวงให้เราอดทนเรียนรู้กับสิ่งที่ต้อง เผชิญความทุกข์ที่บีบคั้นให้เราเฝ้าดู เรียนรู้ยอมรับแต่ไม่ตัดสินเฝ้าดูแบบโง่ๆ อยู่อย่างนั้นสภาวะทุกข์ที่เกิดขึ้นคือ มรรคที่แท้ จริงฝืนให้ทุกข์ที่สุดจนสุดทุกข์ทุกข์จน ไม่อยากเกิดแม้แต่วินาทีเดียวท่านจะพบคำ ตอบจากทุกปัญหาได้จากลมหายใจเข้าออก นี้หากท่านเอาความรู้ทั้งหมดแนบชิดติด มั่นและอยู่ในลมนั้น ได้ความโกรธเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจแต่ การให้อภัยนั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยความ บังเอิญ แน่การให้อภัยเกิดจากความตั้งใจที่เราจะ ให้เป็นทานก็เพราะว่าเรามีการรักษาใจตน เองไม่ให้ไปเบียดเบียนผู้อื่นก็เท่ากับ รักษาคนทั้ง โลกความโลภความโกรธความหลงเป็นอารมณ์ก็ เป็นเพราะสติท่านเผลอ แล้วอารมณ์จึงหยั่งถึงจิตได้สติจึงเป็น รั้วกั้นความคิดเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ อย่างถึงจิตไม่ได้เมื่อขันธ์ทั้ง 5 ไม่มี ผลไม่มีอำนาจจิตก็จะตั้งเด่นสว่างว่าง อยู่แปลกลมหายใจให้เป็นบุญเดินนั่งนอน สามารถสร้างบุญสร้างกุศลได้ตลอดแปลงลมหาย ใจให้เป็นบุญโดยการมีสติกำกับอยู่กับลม หายใจเข้าออกตามรู้ดูลมหายใจได้ทั้งบุญ และได้ทั้ง กุศลอย่าพากันหลงยึดติดกับอะไรมากเกินไป จนลืมไปว่าจริงๆแล้วเราเป็นเพียงแขกที่มา เยือนโลกนี้เพียงชั่วครู่ชั่วคราวเท่า นั้นไม่นานเราก็จะพากันจากไปสุดท้ายก็ เหลือไว้แค่เพียงความว่าง เปล่าเกิดเป็นคนต้องมี สัจจะรักษา สัจจะการเคารพต่อสัจจะของตนนั้นหากเราแพ้ ครั้งหนึ่งเราก็จะแพ้ไปเรื่อยๆ ฉะนั้นไม่มีใครมีอำนาจในการที่จะรักษา หรือทำลายสัจจะนั้นนอกจากตัวของเราเอง ความเชื่อเป็นสิ่งที่ดีถ้าเชื่อในทางที่ ถูกต้องแต่ถ้าเชื่อในความคิดของตัวเอง อย่างเดียวแล้วอันนี้ธรรมะอาจไม่เจริญ เพราะความคิดมันเป็น มาราถอยออกมามาดูให้มันให้ชัดอย่าให้จิต ไปแนบติดอยู่กับความคิดมากเกินไปเพราะ ความคิดนั่นแหละมันจะใช้เราไปในทางที่ ผิดหากเอาความรู้สึกสัมปชัญญะแนบติดอยู่ กับลมหายใจเข้าออกได้จากที่เคยเคยฝึกเคย คิดก็ฝืนกลับมารู้อยู่กับลมหายใจแทนทุก ความสงสัยจะถูกคลี่คลายนี่คือการเจริญ สติกิเลสกับธรรมมันก็อยู่ในใจสติที่ฝึก ไว้ดีแล้วจะเห็นความดีดดิ้นอยู่ข้างใน ปัญญาที่เป็นไปเพื่อพระนิพพานนั้นจะรักษา ตนเองไม่ให้ทุกข์หากศีลสมาธิปัญญาสามัคคี กันแล้วความเจริญจะ ปรากฏขอให้เห็นทุกข์ข้างในนี้ก่อนตราบใด ที่เราไม่ทิ้งลมสภาวะทุกข์จากทางกายนั้น คือของดีสำหรับนักภาวนา ทุกข์นี่แหละจะบีบเราเข้าสู่มรรคลมกับสติ คือมรรคทุกข์ที่เกิดขึ้นนี่แหละคือสัจจะ ความเป็นจริงมีสติอยู่กับลมเป็นวิมุตติ ทิ้งลมเมื่อไหร่คือ สมมติเกิดขึ้นทัน ทีสติเด่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับจิต สิ่งต่างๆจะถูกแยกออกโดย ธรรมชาติเห็นอารมณ์ทั้ง 2 ฝ่ายเกิดขึ้น เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในอารมณ์นั้นๆจิตจะ ถูกแยกยกระดับให้อยู่เหนือความสุขความ ทุกข์ความสงบและความไม่สงบเมื่อจิตแยกออก จากขันธ์สติก็จะเห็นการทำงานของขันธ์ทั้ง 5 อันได้แก่รูปเวทนาสัญญาสังขาร วิญญาณก็จะกลายเป็นผู้เฝ้าดูการทำงานของ ขันธ์เท่านั้นมีสติก็มีครบทั้งศีลสมาธิ ปัญญาขาดสติขาดทุกสิ่งทุกอย่างตกเป็นธาตุ ของ อารมณ์การภาวนาคือการพัฒนากำลังของสติ สมาธิปัญญาของเราให้ดีขึ้นไม่ใช่ภาวนา เพื่อเห็นนู่นเห็นนี่ไม่ต้องไปอยากเห็น นู่นเห็นนี่เหมือนกับใครคนอื่นเขาพูดหลอก เราจงใช้วิริยะแทนความอยากจะเห็นหรือไม่ เห็นอะไรก็แล้วแต่มันจะเป็นไปทำให้มัน ชำนาญทำให้มันคล่องทำให้มันรู้ละเอียดลึก ลงไปอย่าเอาใจไปใฝ่กับความอยากเพราะถ้า อยากเมื่อไรมันก็ปิดกั้นการมองเห็นเมื่อ นั้นขยันทำไปให้มันได้ผลสิ่งที่ต้องการจะ เห็นสิ่งที่ต้องการจะเป็นมันจะเกิดขึ้นมา เองเอาตัวหลักหลักให้มันชัดเจนก่อนนั่น คือสติสมาธิ ปัญญาสิ่งที่มันจะตามมาทีหลังคิดซะว่า เป็นของแถมใจเท่านั้นคือมหาเหตุดีเลวบาป บุญอยู่ที่ใจเป็นเบื้องต้นบุญกุศลคุณงาม ความดีก็เริ่มจากที่ใจนี่แหละเริ่มจาก ความคิดเหตุใหญ่อยู่ที่ใจเมื่อจิตสงบผู้ รู้จะเปิดเผยตัวจิตจะสงบก็ต้องอาศัยสติ สติจะเจริญได้ด้วยลมหาย ใจอานาปานสติคือหนทางแห่งการตื่นรู้จง เพ่งเพียรให้มากทำให้มากผลจะเกิดขึ้นเอง ทุกข์ก็รู้สุขก็รู้พอใจก็รู้ไม่พอใจก็รู้ รู้จักเวทนา สุขเกิดขึ้นก็อย่าไปหมายเอาเพราะสุขมันก็ ไม่เที่ยงสุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ล้วนไม่ เที่ยงแยกเวทนาออกจากเราด้วยสติมีสติผูก ไว้กับลมหายใจที่เข้าออกจบทีละขั้นทีละ ขั้นไปเรื่อยๆต่อเนื่องไปธรรมะไม่มีการยก ยอปอปั้น ยิ่งยกยอเท่ากับยิ่งทำร้ายยิ่งซ้ำเติม เพราะธรรมะเป็นของจริงกายจริงวาจาจริง แล้วก็ใจจริง ธรรมะมีไว้สำหรับคนจริงปฏิบัติจริงเท่า นั้นเส้นทางนี้สำหรับคนเด็ดเดี่ยวอาจหาญ เท่านั้นหากคนไม่จริงเยาะแยะแยะกล้าๆกลัว ๆก็อย่าไปหวังอะไรเลยผู้ฝึก อานาปนสติเมื่อมีสภาวะทางกายเกิดขึ้นมี ความสงสัยเกิดขึ้นให้เอาลมหายใจนี่แหละ เป็นตัวแก้คืออยู่กับลมหายใจแล้วเรียนรู้ ไปเรื่อยๆไม่ต้องไปอยากรู้สภาวะนี้เกิด ขึ้นจากอะไรกลับมามีสติอยู่ที่ลมหายใจเรา จะพบคำตอบคำตอบจะเกิดขึ้นเองคือความไม่ ยึดถือยึดมั่นในอาการนั้นๆนี่แหละคือคำ ตอบความกลัวคือยอดขุนพลของกิเลสกลัว สารพัดสารเพที่ความคิดมันหลอกลวงที่แสบ ที่สุดคือมันหลอกว่าสุขนี่แหละจงจำไว้เลย ว่ามารผู้มีฤทธิ์คือความคิดของเรานี่เอง เราจงเอาธาตุ 4 ขันธ์ 5 นี่แหละคือแหล่ง เรียนรู้ปริยัติ ปฏิบัติจริงๆมันอยู่ที่นี่แหละกายกับใจ ของเรานี่ แหละการมีสติรู้อยู่ทุก อิริยบถคือผู้ไม่ประมาทออกจากความคิดนั่น แหละคือออกจากทุกข์วางความคิดนั่นแหละคือ วางอารมณ์จิตที่ไม่พัวพันอยู่ในอารมณ์ ทั้งปุปวงนั่นแหละ บริสุทธิ์คนส่วนมากมักจะไปรู้ผู้อื่นเสีย มากกว่าเรื่องของตัวเองเรื่องของผู้อื่น นั้นรู้ดีแท้แต่ไม่รู้จักตนเองเลยเมื่อ มัวแต่ไปรู้จักคนอื่นก็ไปตัดสินคนอื่นตัด สินว่าดีบ้างว่าเลวบ้างก็เพราะหลงทางไป กับความคิดนั่นแหละเมื่อตัดสินกันง่ายๆก็ เกิดการทะเลาะกันสุดท้ายท้ายก็เบียดเบียน กันด้วยกายวาจาแล้วก็ใจโดยที่เขาไปเสีย เวลากับเรื่องภายนอกแต่เรื่องภายในใจของ ตนกลับไม่เรียนรู้ไม่อบรมการศึกษาที่สูง สุดคือการศึกษาตนเองความสงสัยจะมีอยู่ ตลอดหากเราเชื่อในความคิดของตนเองนี่คือ เหยื่อล่อของกิเลสเพื่อหลอกให้เราเลิก ภาวนาหากยังคิดอยู่ไม่มีทางออกจากความ สงสัยได้เราควรกลับมามีสติรู้อยู่ที่ลม หายใจเข้าออกนั่นแหละเราจะเห็นความสงบ อิริยะกลัวเหตุปุถุชนกลัวผลทั้งดีและชั่ว เป็นสิ่งที่ควรละสิ่งที่ฝังแน่นที่สุดคือ ตัวของเรานี่เองฝึกสติเจริญสติมีลมหายใจ เป็นวิหาร ธรรมการที่จิตมันเข้าถึงสภาวธรรมนั้นนอก เหนือจากตำราไร้ตรรกะไร้ทฤษฎีนอกเหนือ เหตุผลบุคคลใดที่ยังไม่เห็นโทษของความคิด คือ มโนกรรมก็ยังห่างไกลจากมรรคคือศีลสมาธิ ปัญญาโดย แท้ความหมายของการเป็นอยู่โดยชอบก็คือการ เป็นอยู่อย่างมีสตินั่นเองอดีตอนาคต มีอยู่ในความคิดเท่านั้นผู้ฝึกอยู่กับ ปัจจุบันโดยการมีสติรู้ลมเข้าออกจนชำนาญ ในลมนี้แล้วก็อาศัยลมเพื่อ พัฒนาผู้รู้เวลาอารมณ์ความคิดมันเกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นสิ่งที่ถูกรู้จะมี ผู้ไปรู้ความคิดอีกทีนั่นก็คือสติจะไม่ เป็นไปตามอารมณ์ เห็นอารมณ์เห็นความคิดเป็นได้แค่เพียง สิ่งที่เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไปเท่า นั้นอย่าหลงไปจริงจังอะไรให้มันมากนัก เพราะมันไม่จริงไม่จีรังยั่งยืนเฉพาะใน ชาตินี้ชาติเดียวเราก็เป็นกันมาหลายอย่าง เป็นเด็กเป็นคนแก่เป็นคนเจ็บสุดท้ายเราก็ เป็นคนตายเหมือนๆกันทุกคนก็ความจริงของ ตัวมันก็มีการเท่านี้ แหละเพราะฉะนั้นขอให้พัฒนาจิตพัฒนาใจเอา ศีลธรรมเข้าสู่จิตใจเอาพระธรรมคำสั่งสอน ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรานำไป น้อมปฏิบัตินั่นแหละมันจะเป็นประโยชน์ต่อ จิตต่อใจของเราเราทำใดๆก็ไร้ค่าไม่ทำ อัตราตัวตนมีมากเท่าไหร่ก็ทุกข์มากเท่า นั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกใบนี้ไม่ ใช่สิ่งอื่นใดหรอกไม่ใช่จากภัยพิบัติไม่ ใช่จากดินฟ้าอากาศสิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือจิตใจของคนที่ขาดศีลธรรมนี่แหละโดย เฉพาะจิตใจของตัวเราเองระวังให้ดีถ้าจิต ใจมันไม่เห็นโทษมันจะไม่ยอมสละ ไม่ยอมวางง่ายๆมันต้องอาศัยสติคือความ ระลึกรู้กำกับดูแลรู้เท่าทันยิ่งสงสัย ยิ่งคิดหาเหตุหาผลที่แท้ จริงความจริงแล้วคือความหลงตนเองถามตัว เองตอบตัวเองหลงติดอยู่ในวังบนของความคิด ไม่มีสิ้นไม่มีสุดท้ายแล้วก็คือมารผู้มี ฤทธิ์ก็คือความคิดของเรานี่เองหากยังคิด อยู่มันก็อยู่กับ ปัจจุบันถ้าไม่ได้วางความคิดได้เมื่อไหร่ ปัจจุบันก็เกิดขึ้นได้ในบัดนั้นทัน ทีความตายมันไม่อาจน่ากลัวแต่ที่น่ากลัว คือไม่รู้ว่าตัวเองตายแล้วไปไหนอะไรจะ เป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริงอะไรคือสมบัติ ที่เป็นที่พึ่งได้อย่างแท้แท้จริงพวกเรา กำลังแสวงหาอะไรอยู่ขอให้เราใคร่ครวญดู ความคิดดีความชั่วความรักความชังมันเป็น ของปุถุชนที่เพลินในสุขในทุกข์ส่วนอริยชน ย่อมเห็นอารมณ์ทั้งหลายล้วนมีพิษร้ายต่อ จิตใจทางที่เราไม่เคยเดินมันก็ย่อมลำบาก เป็นธรรมดาเราต้องอดทนเพียรพยายามยามบ่อย ๆค่อยๆถากค่อยๆถางเดี๋ยวทางมันก็โล่งมัน ก็จะค่อยๆเดินง่าย ขึ้นจงอย่าพากันยอมแพ้เราแพ้มันมาหลายภพ หลายชาติแล้วถ้าเราไม่สู้เราก็แพ้มันอยู่ ร่ำไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดก็จะโดนกิเลส มันรังแกย่ำยี่เราไปอยู่ในทุกภพทุก ชาติก็ลองปรับจิตปรับใจเอาชนะมันให้ได้ ลองดูสักชาติดูซิเส้นทางนี้ชนะแล้วชนะเลย ไม่มีทางกลับไปแพ้อีกแต่ต้องเอาชนะน็อค เอาชนะให้ขาดของพวกนี้ขาดแล้วขาดเลยไม่ กลับมาอีกผู้ที่ยังยึดติดยึดมั่นในความ เห็นของตนผู้ที่ยังยึดติดยึดมั่นในความ เห็นของผู้อื่นผู้นั้นจะรู้สึกไม่มั่นใจ ในความถูกต้องหากมีผู้อื่นแย้งในความเห็น ของเราที่ยึดไว้เราย่อมรู้สึกคลางแคลงใจ ก่อให้เกิดความไม่พอใจความพอใจวางใจให้ เป็นกลางๆนั่นแหละถูกทางถูก มรรคอย่าไปหลงคิดเป็นจริงเป็นจังนั่นถูก นี่ผิดคนนั้นดีคนนี้ชั่วล้วนเกิดจาก มโนกรรมของตนทั้งนั้นเห็นตนรู้ทันตนจึง เป็นนักปฏิบัติโดยแท้ผู้ที่สังเกตจิตของ ตนเท่านั้นจึงจะเข้าถึงธรรมะได้เมื่อใด ที่เราเริ่มคิดเมื่อนั้นแหละเริ่มไม่จริง การข้ามเวทนาจริงๆคือข้ามเวทนาทางใจสุข ทุกข์เกิดขึ้นก็ไม่ยึดแค่รู้แค่ดูแค่ สังเกตเท่านั้นเราก็จะเห็นความไม่เที่ยง เห็นแล้วไม่ยึดฟังแล้วไม่ยึดสัตว์แต่ว่า เห็นสัตว์แต่ว่าฟังนั่นแหละผู้มีสติหาก สติมีกำลังท่านจะอยู่เหนืออารมณ์ได้ อารมณ์นั้นมีอยู่แต่ไม่มีผู้เป็นเจ้าของ อารมณ์แต่การฝึกจิตฝืนใจขัดจิตขัดใจของตน เองนั้นมันเป็นทุกข์ที่ทนได้ยากเพราะมัน สวนสวนกระแสแห่งใจของตนเองเพราะคนเราส่วน มากก็มักจะตามใจตนเองพอมีสิ่งไหนหรือผู้ ใดมาขัดจิตขัดใจของตนเองใจก็เริ่มคลาง แคลงรุ่มร้อนเป็นทุกข์ท่านจึงว่าการฝึก การสวนกระแสใจของตนเองนั้นมันเป็นทุกข์ ที่ทนได้ยากเราต้องใช้สติในการอดทนข้าม พ้น เมื่อพ้นแล้วเราจะเห็นสัจธรรมความจริง ซึ่งมันงดงามยิ่งงามยิ่งกว่าสิ่งที่เรา ตามใจ ตนหากเราตามใจตนเมื่อไหร่มันก็มีสุขอยู่ ตั้งแต่เพียงตอนต้นๆเท่านั้นพอวันเวลา ผ่านไปสุขหายไม่นานมันก็จะกลับเข้าสู่ ความทุกข์เช่นเคยนี่แหละท่านว่าสุขมันไม่ มีจีรังมันไม่เที่ยงความคิดและอารมณ์มัน เป็นแค่เพียงสิ่งที่ผ่านเราไม่ควรเอาใจไป เกาะไปเกี่ยวกับสิ่งไหนที่รู้สภาวะต่างๆ ที่ปรากฏสิ่งไหนล่ะที่รู้ว่าสงบหรือไม่ สงบและสิ่งไหนล่ะที่รู้ว่านั่นคือจิตสิ่ง ที่เรียกว่าจิตนั้นมันก็เป็นแค่เพียง ธรรมชาติหนึ่งเท่านั้นมันไม่ใช่ นิพพานนิพพานไม่ใช่จิต จงอาศัยสิ่งที่มี อยู่เพื่อทำลายสิ่งที่ มีนักภาวนาต้องทนแรงกระทบให้ได้โดนกระทบ แล้ววางได้เร็วอดทนฝืนทวนกระแสของกิเลส อารมณ์ปัญญาอยู่ตรงนี้ นะดูมันให้ดีรู้มันให้ชัดที่เขาเกิดขึ้น มาเป็นสัตว์เดรัจฉานไม่ใช่เรื่องอื่น เรื่องใดดอกก็จิตใจของเคนึกถึงความดีไม่ ได้นึกถึงความเป็นสมบัติสุขไม่ได้ทำไมมัน ถึงเป็นเช่นนั้นทำไมเขาจึงนึกไม่ได้ก็ เพราะว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องศีลเรื่อง ธรรมเรื่องคำสอนของพระพุทธเจ้าเขาไม่ได้ เอาใจใส่ใน ศีลธรรมจึงเฝ้าก่อกรรมเพื่อเป็นปัจจัยให้ มาเกิดเป็น เดรัจฉานบุคคลที่มีสติสังวรระวังอารมณ์ นั้นกับบุคคลที่ไม่มีสติเป็นเครื่องสังวร ระวังกิริยามารยาทที่แสดงออกมาทั้งกาย นั้นย่อมแตกต่างกันอย่าปล่อยให้ความเป็น สมบัติของเราวิ่งไปตามกระแสของกิเลสถ้า กิเลสตัณหามันวิ่งประสานกันแล้วมันจะเอา สมบัติของเราคือรูปสมบัติวชีสมบัติมโนสัน เจตนาสมบัติที่มีอยู่ข้างหน้าที่เป็นดั่ง จุดหมายปลายทางคำสอนขององค์ ศาสดามันเกิดจากผลที่มาจากเหตุคือการ กระทำของ มนุษย์เรากระทำสิ่งไหนมันก็เป็นเหตุ ปัจจัยให้เราไปเกิดกับสิ่งนั้นทุกๆอย่าง อยู่ที่การกระทำของเราเมื่อเราได้เกิด เป็นมนุษย์แล้วก็เอาดูสิเอาให้ตนได้ไป เกิดเป็นเทวดาก็หมั่นทำบุญทำทานเอาให้ตน ได้ไปเกิดเป็นพรหมก็หมั่นเจริญญาณดับใน ฌานได้ไปแน่หรือจะเอาให้ถึงที่สุด นิพพานสมบัติก็คือปฏิบัติไปให้สุดจบกิจ ข้างต้นคือ โสดาบันสกิทาคามี อนาคามีและจนถึงที่สุดคือความเป็นอรัก อหันมันก็ไปนิพพานได้เท่านั้นสมบัติเหล่า นี้มันมีอยู่แล้วอยู่ที่เราจะเลือกเอา เลือก ทำหรือไม่ทำเท่านั้นรูปร่างกายอันนี้เป็น เพียงก้อน อสุภะในเนื้อในหนังให้เรามองเข้าไปมองให้ เห็นความจริงที่มันซ่อนอยู่ในนั้นมันเป็น ของสวยของงามหรอกหรือมันเป็นสิ่งที่น่า ยินดีหรอกหรืออันนี้คือสัจจะความจริงให้ เพียรทำจิตใจให้เป็นบุญอีกลักษณะหนึ่งให้ เพียรกำจัดบาปอย่าให้เกิดขึ้นถ้ามันเกิด ขึ้นให้เราเพียรละนี่กิริยาความเพียรทาง ใจราคะตัณหาแต่ละอย่างล้วนแต่เป็นสิ่งที่ ก่อทุกข์ก่อโทษให้เกิดขึ้นต่อทางจิตทางใจ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนพวกเราว่าสิ่ง เหล่านี้มันเป็นพิษเป็นภัยเป็นกระแสที่ คอยทำลายล้างดวงจิตดวงใจให้เกิดความเป็น ทุกข์เดือดร้อนวุ่นวายอยู่ทุกขณะจิตเรา ควรใช้ของที่เรามีอยู่ของที่ไม่ได้ซื้อ ได้หานึกขึ้นมาก็เห็นได้ทันทีอย่างเช่น นึกพุทโธก็ไม่ต้องไปหาซื้อไม่ได้ไปหามา จากที่อื่นเลยนึกขึ้นเมื่อไหร่ก็เห็น เดี๋ยวนั้นมีเดี๋ยวนั้นรู้อยู่เดี๋ยวนั้น ใครว่าของฟรีไม่มีอยู่ในโลกก็นี่ไงพุทโธ นี่ไงของดีแท้ๆเลยล่ะนั่นคือสิ่งที่จะทำ ให้จิตใจมีความ สมบูรณ์เครื่องประดับประดาใดๆในโลกอันนี้ จะมีราคาเป็นหลายหมื่นหลายพันหลายแสนมอง ดูมันไม่เย็นอกเย็นใจไม่ชื่นอกชื่นใจ เหมือนศีลธรรมประดับถ้าศีลธรรมประดับแล้ว มันถึงอกถึงใจจริงๆนะความหมายของการเข้า วัดเข้าวาความหมายของการฝึกนั่งภาวนานั่ง สมาธิจึงมีความจำเป็นเป็นเหตุเป็นประเด็น สำคัญทุกชาติชั้นวรรณะที่จะต้องมาเรียน รู้ต้องมาฝึกมาฝนต้องปฏิบัติให้ได้ถึงจะ ลำบากขนาดไหนก็มาลำบากเพื่อความดีของตัว เราเองนั่นแหละร่างกายเติบโตด้วยปัจจัย 4 จิตใจเติบโตด้วยผลของการกระทำความดีตาม หลัก ศีลธรรมถ้าพร้อมด้วยคุณธรรมที่กำลังตั้ง ใจตั้งสติ ความตั้งใจตั้งสติที่เราทำต่อเนื่องเพ่ง ต่อเนื่องกำลังส่วนนี้มันจะผ่านเหนือ สัญญาเหนือสังขารเหนือเวทนาของมันความ ง่วงหาวเหงานอนมันไม่มีเพราะกำลังสติตื่น รู้ตัวอยู่ตลอดศีลแต่งกายสมาธิแต่งใจ ภาวนาทำให้เกิดปัญญารู้ถูกรู้ผิดรู้ดีรู้ ชั่ว ฐานะของเราคือผู้รู้ดูมันให้เห็นนะท่าน ทั้งหลายลองหลับตานึก ดูถ้าลืมตาสติมันจะลอยอยู่เฉยๆอยู่นิ่งๆ ไม่เป็นถ้าเราสำรวมแล้วมันจะรู้ใจรู้ เรื่องของใจความเป็นศีลเป็นธรรมมีอยู่ที่ ใดมีอยู่กับบุคคลใดสถานที่นั้นบุคคลนั้น ย่อมมีแต่ความเยือกเย็นภายในจิตใจในใจมี ความสดชื่นยิ้มแย้ม แจ่มใสใจมันอยู่เฉยๆไม่เป็นกิเลสตัณหามัน พานึกพาคิดทั้งวันทั้งคืนรู้ตัวกันหรือ เปล่าพวกเราความนึกคิดของกิเลสตัณหาคิด แล้วมันร้อนคิดแล้วมันเป็นทุกข์นะให้เรา โอปนยิโกน้อมเข้ามาไปดูดวงจิตดวงใจของตน เองเราต้องการความดีเราต้องการความสุข ความสบายใจของเราเท่านั้นเป็นผู้เป็นใจ ของเราเท่านั้นเป็นผู้มีท่านิสัยไม่เคย ได้ฝึกได้บังคับให้มันฝึกให้มันมีสติสิ่ง ไหนที่เป็นสิ่งที่ดีมันไม่อยากทำต้อง บังคับให้มันทำเมื่อมันขี้เกียจเดินจงกรม ต้องบังคับให้มันเดินจงจงกลมมันไม่อยาก นั่งสมาธิก็ต้องบังคับพามันนั่งสมาธิฟัง ธรรมคือการฟังเรื่องราวของความดีเพราะคำ สอนของพระพุทธเจ้าสอนความดีให้กับมนุษย์ นี่ไม่ใช่ความดีธรรมดาคือทำให้จิตใจให้ บริสุทธิ์ได้ด้วยให้จิตใจได้เข้าสู่มรรค ผล นิพพานถ้ากิเลสตัณหามันนำเอาลักษณะรูปคือ การทำวจีคำพูดจิตใจคือความนึกความคิดถ้า มันเอาไปใช้แล้วเราไม่รู้ตัวผลจากการ กระทำมันก็จะทำให้เราเป็นทุกข์เกิดขึ้นมา รูปร่างสวยงามสง่าขนาดไหนปราศจากโลกภัยมี กำลังวังชามีความดีส่วนนี้เป็นสมบัติที่ เกิดจากอานิสงส์ของ ศีลบุคคลที่มาศึกษาทางศีลธรรมธรรมจัดว่า เป็นบุคคลที่มีบ่อเกิดแห่ง ปัญญาถ้าห่างเหินจากศีลธรรมน้อยความเสีย หายก็น้อยถ้าเหินห่างจากศีลธรรมมากสติ ปัญญาความดีนี้ก็จะเสียหายมากมันจึงสวน ทางกับกลลวงของกิเลสว่าศีลธรรมศาสนาคร่ำ ครึล้าสมัยกิเลสมันก็จะดึงไปในทางของมัน สติสัมปชัญญะ ปัญญาเท่านั้นที่จะตัดทางแห่งสัญโยชน์ได้ ทิฐิคือความเห็นถ้าเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ กลายเป็นนิสัยหัวดื้อถือตัวถือตนยึดติด ยึดมั่นกับอัตตาตัวตนอย่างนี้ว่ายากสอน ยากหลวงตาบ้านตากท่านว่าบุญมีจริงบาปมี จริงนรกมีจริงสวรรค์มีจริงมรรคผลนิพพานก็ มีจริงอย่าไปดูที่อื่นท่านว่าให้ดูที่ใจ ของเรานี่แหละกิเลสโลภโกรธหลงมันมีอยู่ใน ใจมันมีอำนาจบังคับจิตใจของพวกเรามีอำนาจ บังคับการกระทำของพวกเรามีอำนาจบังคับ วาจาของพวกเราให้คิดไปตามกระแสของกิเลส โลภโกรธหลง ทั้งอดีตที่ผ่านมาปัจจุบันที่เป็นอยู่ใน อนาคตจะไปข้างหน้าก็ดีถ้าใครยังไม่เข้าใจ เรื่องศีล 5 ขอให้จงสนใจเถอะญาติพี่น้อง ญาติโยมหรือลูกหลานทั้งหลายที่เข้าใจแล้ว หรือปฏิบัติได้แล้วอาตมาองค์พระอาจารย์ขอ อนุโมทนาสาธุด้วยเป็นอย่างยิ่งจิตคือความ นึกความคิดความนึกความคิดอันนี้ล่ะส่วน มากร้อยทั้งร้อยจะมีอารมณ์ของกิเลสตัณหา เป็นตัวแปรถ้าเผื่อไม่มี คุณธรรมคือสติปัญญาเป็นเครื่องยับยั้งมัน จึงน่าเป็นห่วงถ้าเผื่ออารมณ์ในทางที่ดี เป็นเครื่องนำความคิดนั้นก็จะปรากฏมีความ สุขความสบายความปิติความเอิบอิ่มตามกำลัง แห่งอารมณ์ความดีนั้นๆท่านเรียกว่า บุญคำว่าภาวนาเป็นหลักที่จะทำให้เกิดความ เป็นบุญอีกลักษณะหนึ่งเรียกว่าภาวนาให้ บุญสำเร็จด้วยการภาวนา ภาวนาคือทำให้เกิดให้มีธรรมความดีของใจทำ ความสบายของใจให้เกิดจนให้จิตของเราตั้ง มั่นอยู่ในความดีอันนี้ให้รู้จักใจของตัว เองว่าใจของตัวเองเรามาฝึกให้อยู่ใน ลักษณะของศีลของธรรมมีความเชื่อมั่นว่าใจ ของเรานี้คือเอาลักษณะของศีลของธรรมเป็น เครื่องบำรุงใจของเราศีลธรรมอันนี้แหละจะ นำความสุขมาให้ถ้าเรานั่งสมาธิแทนรูปร่าง กายมันจะมีความสุขแต่ทำไมมันจึงฝืนก็ เพราะสัจจะความจริงที่มันมีอยู่ในรูปร่าง อันนี้ขึ้นชื่อว่ารูปร่างกายมนุษย์คนเรา จะเป็นผู้ชายจะเป็นผู้หญิงล้วนแล้วแต่ เป็นกองทุกข์เป็นก้อนทุกข์ด้วยกันทั้ง นั้นสมัยหลวงพ่อมาฝึกอยู่กับหลวงปู่ฟั้น ไม่ได้นอนเลยนะถ้าเป็นวันพระวันเจ้านี่ นั่งสมาธิกันทั้งวันทั้งคืนแต่ขนาดนั้น มันก็ยังดูโง่อยู่จะว่าอย่างไรถ้าไม่ได้ ฟังเสียเลยไม่ได้ฝึกเสียเลยหลวงพ่อไม่ สงสัยนะเป็นผีเป็นสัตว์เดรัจฉานจริงๆสิ่ง ที่ก่อกวนจิตใจคืออารมณ์อารมณ์ก็คือ เรื่องของกิเลสทั้งหลายตัณหาทั้งหลายอัน นี้มันก่อกวนมันทำให้จิตใจของเราเห็นผิด คิดผิด ขอให้พี่น้องญาติโยมพี่น้องลูกหลานลองฟัง ดูสิพิจารณาดูสิอบายมุขมียังไงมีอะไรบ้าง ที่คนเรายังพากันหลงมัวเมากันอยู่ 1 ดื่ม น้ำเมา 2 เที่ยวกลางคืน 3 เที่ยวการดูการ เล่น 4 เล่นพนัน 5 คบคนชั่วเป็นมิตร 6 เกียด ค้านการทำงานดูเอาเถิดพิจารณาดูเอาเถิด พวกเราก็พากันเมากันอยู่อย่างนั้นลองมา เมาศีลธรรมมาเมาธรรมกันบ้างสิจะเห็นดี เห็นงามกันอย่างไรก็ให้มันรู้มันดูกันได้ บางสิ่งที่กล่าวมานี้ก็เผื่อว่าใครจะเข้า ใจอาจจะมีวาสนาบ้างมีดำเนินตามแนวทางหลัก ศีลธรรมคำสั่งสอนของพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอนว่าจะถึงจุดหมาย ปลายทางคือการพ้นทุกข์ลองมาบุกมันดูสิกับ ทางนี้ทางแห่งศีลธรรมแห่ง ธรรมะพระพุทธเจ้าท่านได้ทรงสรรเสริญบุคคล ที่มีโอกาสมีกาลเวลาหรือพวกเราได้มีโอกาส มีกาลเวลาว่ากิจัง สัธัมมัสสวนังการที่จะได้ฟังพระธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้านั้นมันเป็นเรื่องยากยิ่ง เราเป็นผู้มีโอกาสในลักษณะนี้ถือว่าเป็น ผู้มีโชคเป็นผู้มีลาภอันประเสริฐแล้วให้ พากันมีความเชื่อมั่นหลักใจที่เป็นสรณะ ที่พึ่งใน 3 โลกนี้ไม่มีอะไรอื่นเป็นสรณะ ที่พึ่งทางจิตได้ดีเท่าพระ รัตนตรัยคือพระพุทธเจ้าพระธรรมพระ สงฆ์อันว่าความแก่ความเจ็บความตายมันขวาง หน้าพวกเราถ้าเผื่อเราไม่ได้ฝึกไม่ได้ ตั้งใจตั้งสติตั้งใจให้อยู่ในความดีเอา ไว้ความแก่มันมากขึ้นกว่านี้เราจะทำยังไง ความเจ็บไข้ได้ป่วยมันมากขึ้นกว่านี้จะทำ อย่างไรล่ะที นี้สิ่งที่ควรเลิกควรละมันมีอยู่ใน ใจสิ่งที่ควรประพฤติปฏิบัติขึ้นกว่าใจของ เราเท่านั้นเป็นผู้ปฏิบัติหรือกระทำให้ เกิดขึ้นฉะนั้นท่านจึงว่า โอปนยิโกให้น้อมเข้ามาดูภายในจิตใจรู้ อยู่ภายในจิตใจสิ่งที่ควรเลิกควรละคือ กิเลสทั้ง เป็นของไม่ ดีกิเลสส่วนหยาบส่วนใหญ่ท่านก็ว่าความโลภ เป็นของไม่ดีความโกรธเป็นของไม่ดีความหลง ก็เป็นของไม่ดีให้เลิกให้ลับให้ปล่อยให้ วางถ้าคนเรารู้ตัวรู้ตัวได้มากเท่าไหร่ การแสดงความชั่วพูดชั่วทำชั่วนั้นมันรู้ ตัวมันก็ทำไม่ได้ที่ครูบาอาจารย์จะช่วย ได้ก็คือช่วยบอกช่วยสอนช่วยแนะนำช่วยตัด เตือนที่จิตใจของเราจะดีขึ้นสมาธิสติ ปัญญาของเราจะดีขึ้นตัวเองต้องเป็นผู้ฝึก ฝนเอาเองทำเอาเองตนเป็นที่พึ่งแห่งตนช่วง ระยะกาลเวลาที่พวกเราพอบำเพ็ญกุศลได้อายุ ยังไม่เท่ายังไม่แก่ให้รู้จักการทำบุญการ ทำทานมากน้อยให้รู้จักการรักษาศีลเว้นจาก ทุกข์เว้นจากโทษให้รู้จักการเข้าวัดเข้า วาฟังเทศน์ฟังธรรมนั่งสมาธิ ภาวนาให้บำเพ็ญตรงนี้เอาไว้เพื่อเป็น สมบัติติดตัวไปในภายภาคหน้าถึงมันจะเจ็บ ปวดเหนื่อยเมื่อยหิวขนาดไหนจิตใจก็อย่าไป หวั่นไหวให้ใช้ความอดทนเป็นการใช้ ขันติธรรมบารมีหรือจะใช้เรื่องของสมาธิ หนักแน่นไม่หวั่นไหวหรือว่าจะใช้ในลักษณะ ของปัญญารอบรู้สังขารการปล่อยวางการที่ เรามาฝึกมาตั้งใจมาตั้งสติจะได้รู้ตัวว่า เออใจคือธาตุรู้มันเป็นอย่างนี้คำว่าสติ คือเครื่องระลึกรู้มันรู้ตัวอย่างนี้มัน จะเห็นได้ชัดมันจะแยกออกถ้าเรามัวแต่ ปล่อยจิตปล่อยใจให้มันเลื่อนลอยไปมันก็ เละ ตุ้มเป๊ะไม่มีประมาณไม่ได้คำนึงถึงว่าตอน นี้มันนึกอะไรบ้างถ้าปล่อยไว้ในลักษณะนี้ นั้นจนถึงวันตายมันก็จะไม่มีประโยชน์อะไร มันกลายเป็นจิตเลื่อนจิตลอย สติเลื่อนสติลอยใจคือผู้รู้มันรู้อยู่อัน นี้คือใจเมื่อใจคือความรู้มันรู้อยู่ให้ ใจมีลักษณะความดีเป็นส่วนประกอบให้ใจของ เรามีลักษณะความดีเป็นพื้นฐานฉะนั้นความ ดีที่มีอยู่ในใจจะเป็นผู้ที่มี คุณธรรมคุณธรรมคือความดีของใจให้ใจกลับมา อยู่ในลักษณะของความเป็นศีลเป็นธรรมศีล คือความปกติธรรมคือความสงบความสงบก็คือ ไม่มีเรื่องนั่นแหละไม่มีเรื่องก็คือใจ ปกตินั่น เองจิตจะอยู่ในธาตุขันธ์นี้ไม่ได้หากว่า ธาตุขันธ์ไม่ทำงานคือลมหายใจที่เข้าออก ไม่ทำงานจิตจะอยู่กับบุญอยู่กับความ ดีนั่งสมาธิฝึกนานๆเป็นหลายๆนาทีเป็น ชั่วโมง 2 ชั่วโมงไอ้สิ่งที่เรียกไม่ได้ ก็คือ ทุกขเวทนาเราต้องยอมรับความจริงอันนี้ให้ ได้ทุกข์เป็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นกับรูปร่าง กายของเราก็ให้กำหนด รู้รู้แต่ทำใจนิ่งเฉยรู้แบบ ธรรมชาติการที่เรารู้จักปฏิเสธความชั่ว ชั่วนั้นมันก็มาจากที่เรามาฝึกมาตั้งใจมา ตั้งสมาธิฟังตามหลับคำสอนขององค์พระ สัมมาสัมพุทธเจ้าฝึกแนวคิดนี้จิตใจให้คิด อยู่ในทางที่ถูกสติธรรม สมาธิธรรมคือความสงบสงบกายก็คือนั่งปกติ ไม่กระดุกกระดิกอันนี้กายสงบเรื่องของ กิเลสมันไม่ชอบอย่างนี้ฝืนเรื่องของกิเลส กิเลสมันจึงหงุดหงิดขึ้นมามันไม่เอามัน ไม่ ชอบให้ดูลักษณะสิ่งที่เป็นกำลังเป็นภัย อยู่กับใจของเราการฝึกฝนฝึกตนฝึกใจไม่ จำเป็นต้องฟังอะไรทุกๆวันทุกๆเรื่องแต่ กระนั้นก็มีผู้ที่เข้าใจในแนวทางก็มีผู้ ทำเป็นนิสัยแล้วแล้วก็ยังมีผู้ที่ยังไม่ เข้าใจก็มียังไม่เป็นนิสัยก็มีฉะนั้นการ ได้ยินได้ฟังมันจึงจำเป็นสำหรับการเรียน รู้กิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ตัณหาคือ ความ ทะเยอทะยานอยากนู่นอยากนี่อยากอย่างไม่มี ขอบเขตหิวอย่างไม่มีขอบเขตเมื่อตัณหามา ประสานกันกับกิเลสคือความโลภโกรธหลงตรง นี้เป็นต้นเหตุทำลายความเป็นสมบัติของ ความเป็นมนุษย์ความโลภก็ไม่ดีความโกรธก็ ไม่ดีความหลงก็ไม่ดีทำไมท่านจึงสอนว่าไม่ ดีก็เพราะว่าสิ่งเหล่านี้หากมีน้อยก็เป็น ทุกข์น้อยมีมากก็เป็นทุกข์มากทำให้เกิด ความสื่อเสื่อมเสียแก่จิตใจเราควรละควร วางเสียดูกุศลและเจตนาความตั้งใจของพวก เราไม่มีใครต้องการความ ปรารถนาทุกข์จะมากจะน้อยนี่คือสัญชาตญาณ ด้านจิตใจแต่แล้วทำไมจึงมีการฟังเทศน์การ ปฏิบัติธรรมบำเพ็ญ กุศลเพราะมันจะทำให้จิตของพวกเราเกิดความ รู้เกิดความฉลาดขึ้นโดยเฉพาะใจของพวกเรา นั่นแหละเมื่อจิตใจมันฉลาดขึ้นท่านเรียก ว่า ปัญญาไอ้ตัวปัญญานี่แหละมันจะพาเราออกจาก กองทุกข์ออกจากกอง กิเลสพูดถึงสถานที่ สัปปายสถานที่อยู่สบายอย่างที่วัดที่พวก เราอยู่นี่อยู่ตามป่าตามเขาอยู่ตามร่ม ไม้ตามเขื่อนตามถ้ำตามเงื้อมผาคือสถานที่ ลักษณะนี้มันเป็นสถานที่ที่มีความเงียบ เสียงแบบทางโลกมันไม่มีมารบกวนจิตใจให้ ฟุ้งซ่านเป็นสถานที่อยู่แบบสบายของผู้ ปฏิบัติพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าถ้าบุญกุศล นั้นทำไว้มากเมื่อจิตใจจุติออกจากรูปร่าง อันนี้จึงไปเกิดในสวรรค์แต่ละชั้นแต่ละ ชั้นตามอำนาจของพลังบุญอานิสงส์แห่งความ ดีกลายมาเป็นสมบัติของพวกเราเรียกว่า มนุษย์สมบัติถ้าความดีมีน้อยความชั่วมัน มีมากอันนั้นไม่ใช่สมบัติแล้วมันจะกลาย เป็นวิบัติมนุษย์วิบัติไม่มีใคร ต้องการมีอะไรที่ทำให้หัวใจของพวกเรา สกปรกอันนี้คือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่ พระพุทธเจ้าท่าน ตรัสรู้รู้แล้วก็คือกิเลสโลภโกรธหลงตัณหา ความ ทะเยอทะยานอยากได้นั่นอยากได้นี่อยากไม่ มีขอบเขตทำให้จิตใจของพวกเราขุ่นมัวเศร้า หมองการหลีกการระงับการดับส่วนที่มันเป็น เหตุแห่งทุกข์ ท่านจึงสอนให้เรานึกถึงศีลนึกถึงธรรมนึก ถึงสิ่งที่มันเกิดทุกข์เกิดโทษสิ่งไหนที่ มันเกิดทุกข์เกิดโทษมันเป็นโทษนั้นเมื่อ นึกแล้วรู้แล้วต้องเว้นต้องละต้องเลิกใน สิ่ง นั้นสำรวมอย่าให้มันเกิดขึ้นอีกอย่าให้ มันมีมากระทบกระเทือนจิตใจของเราก็ได้ ชื่อว่าเรามีเกาะป้องกันทั้งส่วนหยาบเรา ก็อาศัยความเป็นศีลเป็นธรรมนี่แหละเป็น กำแพงเอาไว้กันสิ่งที่เป็นทุกข์เป็นโทษ ไม่ให้เกิดขึ้นกับกายและจิตใจของ เราใจไม่ตั้งสติไม่ตั้งเมื่อใจไม่ตั้งสติ ไม่ตั้งมั่นก็เป็นเครื่องมือของกิเลส ตัณหาโมหะความหลงอวิวิชาความไม่รู้ถ้าได้ ดั่งใจมั่นมันก็พอใจไม่ได้ดั่งใจมันก็ เกิดอารมณ์เกิดโทสะเกิดโมโหขึ้นมามันเลย เป็นบ่อให้เกิดความ ชั่วถ้าเผื่อพวกเรามองเห็นความทุกข์ของ ใจจงพิจารณาความทุกข์ของใจที่มันเกิดจาก อำนาจของกิเลสตัณหาฝ่ายชั่วเป็นบาปเป็น กรรมธรนั้นมองเห็นด้วยสติมองเห็นด้วย ปัญญาอันชอบมันจะเกิดความสลดสังเวชมีความ เบื่อหน่ายในทุกข์ที่เกิดขึ้นเรียนรู้ คุณธรรมคือ สติธรรมถ้าเผลอตรงนี้แล้วมันจะเกิดและถ้า ง่วงหงาวเหานอนขึ้นมามัวซึมเซอรไม่รู้ เรื่องราวอันนี้ก็ใช้ไม่ได้หากเรามีสติ รู้ทัน เหมือนอย่างที่ว่าของสกปรกมันอยู่ในมือ ของเราแล้วเราจะถือมันไว้ทำไมล่ะ สัญชาตญาณมันก็ทิ้งเลยแล้วก็ว่าความโกรธ นั้นมันเป็นของไม่ดีมันก็ฝึกมันก็ละทิ้ง ไปเรื่อยๆอย่างนี้อย่าเก็บเอาไว้เราจะทำ บุญหรือรักษาศีลง้นเว้นจากการทำความชั่ว หรือมานั่งสมาธิ ให้เป็นบุญหรือฟังเทศน์ฟังธรรมเพื่อเป็น บุญ กุศลเจตนาตรงนี้มันจะเปิดประตูใจผลของบุญ อันนั้นจะเข้าสู่ใจจะกลายเป็นตู้เซฟเก็บ เอาไว้เพราะใจมันไม่ตายนะบางคนก็ยังมี ความสงสัยว่าทำไมทำบุญมากมายจิตใจยังเป็น ทุกข์อยู่ทำไมรักษาศีลอยู่เรื่อย ทำไมไม่เห็นมีอานิสงส์อะไรทำไมนั่งภาวนา ฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆทำไมไม่เห็น อานิสงส์มันก็จะเห็นได้ยังไงล่ะในส่วน หนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกันมันยังเป็นการส่ง เสริมกิเลส ตัณหาฝ่ายความทุกข์เป็นโทษมาทับถมความดี ของพวกเราอยู่ก็ว่าผู้นั้นตั้งใจยากอยาก ที่จะทำบุญอยากให้บุญตอบแทนอยากจะให้ศีล ตอบแทนเราจากการที่ตนรักษาอยากให้การ ภาวนาของตนตอบแทนเป็น อานิสงส์ก็มันอยากนี่มันอยากได้อะไรล่ะ ความอยากนั่นแหละคือตัณหาก็บอกตั้งแต่ที่ แรกแล้วว่ามาฝึกให้ละให้ปล่อยวางไม่ใช่พา กันมายึดไม่อยากใจของพวกเรามันนึก มันคิดไป 8,000 เรื่องถ้าเรื่องนั้นมี ปัญหามากก็คิดไปแล้วมันก็ยิ่งทุกข์ใจมาก ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนมนุษย์ทั้งหลาย ให้รู้จักวิธีระงับสิ่งที่เป็นปัญหาต่อ ทางจิตทางใจก็ให้มาฝึกนั่งสมาธิให้ใจมัน สงบสงบจากอารมณ์ที่มันคิด 108,000 เรื่อง จิตใจของพวกเรานี่พวกพวกเรายังรู้น้อย ทำไมจึงว่าพวกเรารู้น้อยอยู่ก็เพราะถ้า จิตใจยังเป็นสามัญชนปุถุชนอยู่นี่คำว่า อุปทานการเข้าไปยึดการเข้าไปถือมั่น เรื่องของจิตใจนั่นแหละการยึดสิ่งใดถือ สิ่งใดสิ่งนั้นมันก็เป็นทุกข์ขึ้นมาการ ฝึกตั้งใจดูตั้งใจตั้งสติดูใจมีการวางได้ มากน้อยขนาดไหนจิตใจของพวกเราก็ต้อง มาเรียนรู้กันตรงนี้เมื่อเรียนรู้ตรงนี้ จนเข้าใจแล้วตรงนี้เข้าใจถูกแล้วทำใจได้ ถูกแล้วอันนี้แหละคือการฟังการฝึกถ้าใจมี กำลังการทำงานทุกประเภทมันก็จะเป็นผล สำเร็จเกิดขึ้นเพราะกำลังของสมาธิมีปัญญา รอบชอบรู้ในเหตุในผลตัดสินใจรู้ในเหตุใน ผลอันนี้ความดีของจิตใจการฝึกมีสติองค์ สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงสอนไว้ว่าให้ สังวรระวังเมื่อระวังตัวได้ดีอันนี้แหละ มันจะเป็นอำนาจของศีลของธรรมจะคุ้มครองปก ป้องไม่ให้ตกไปในทางชั่วไม่ให้หลงไปในทาง ที่ชั่วขึ้นชื่อว่าชั่วมีใครต้องการมั้ย ขึ้นชื่อว่าไม่ดีมีจิตใจดวงไหนที่ต้องการ มั้ยเมื่อตั้งใจดีแล้วตั้งสติดีแล้วทุกคน ปฏิเสธมันทั้งนั้นภาวนาคือการภาวนาให้จิต สงบภาวนาแปลว่าพัฒนาบ่อเกิดและเป็นที่ ตั้งแห่งบุญ อีกภาวนาภาวนาใหม่บุญสำเร็จเกิดขึ้นเพราะ การ ภาวนาส่วนบุญเรื่องอื่นของพวกเราที่ทำมา มากบุญกับบุญมันก็มารวมกันได้กลายเป็น สมบัติของจิตของใจเห็นมยไม่ว่าจะกล่าวไป ไกลขนาดไหนสุดท้ายมันก็มารวมลงอยู่ในใจ อันเดียวก็เพราะว่าใจดวงนี้มันเป็นเหตุไง ล่ะเหตุใหญ่อยู่ตรงนี้อยู่ที่ใจนี่แหละ ถ้าจิตใจไม่เศร้าหมองแล้วไปอยู่ที่ไหนก็ มีแต่ความสบายใจคือธาตุรู้ไม่มีลมหายใจ แต่มันอยู่ตรงนี้ได้ก็เพราะอาศัยลมของ ธาตุของขันธ์ถ้าอยู่คำว่า ศีลธรรมศีลธรรมก็ว่ากันอยู่กันติดปากแต่ จิตใจของเรานั้นยังไม่เป็นยังไม่ถึงมันก็ ได้แต่ชื่อเท่า นั้นมันเป็นสมมติทิ้งสมมติก็ทิ้ง ชื่อละสมมติก็หลุดพ้นได้ไงล่ะสติอยู่กับ จิตก็เลยเป็นคุณธรรมรู้ตัวจะนึกจะคิดจะ พูดอะไรกลายเป็นคุณธรรมรู้ตัวถ้าคนเรารู้ ตัวรู้ตัวได้มากเท่าไหร่การแสดงความชั่ว ผู้ชั่วนั้นมันรู้ตัวมันก็ทำไม่ได้และไม่ กล้าที่จะทำความ ชั่วส่วนเรื่องของอนิจจัง อนิจจามันเป็นระบบของความไม่เที่ยงเรื่อง นี้เรื่อง นั้นเรื่องนั้นเรื่องนี้มันเป็นธรรมชาติ ของธาตุขันธ์มันเป็นอยู่อย่างนี้ความไม่ เที่ยงมีอยู่ที่ไหนที่นั่นย่อมย่อมมี ทุกข์คำว่าไม้งิ้วหรือต้นงิ้วหนามในนรก ไม่ใช่คำพูดที่พูดกันเล่นๆสนุกปากเฉยๆถ้า เผื่อว่าเป็นจริงจะน่าขยักแขยงขนาดไหนที่ ขุมนรกขุมที่ 3 มันจะมีลักษณะนั้นไม่ว่า ต้นงิ้วมันจะมีหรือว่าไม่มีเราก็ไม่ควร ที่จะดำเนินชีวิตไปอย่างประมาทเพราะถ้า มันพลาดมามันแก้อะไรไม่ได้เลยผู้ใดนึกถึง ความดีไม่ได้ผลความชั่วนำทางดวงจิตดวงใจ ให้ปรากฏขึ้นมันก็จะทำให้จิตของผู้นั้น เป็นทุกข์ทำให้จิตใจมีปัญหามากเมื่อดวง จิตดวงใจออกจากร่างจึงเป็นไปเพื่ออบายมุข ภูมิ 4 โดยไม่ต้องสงสัยเมื่อถึงเวลานั้น เราคิดจะไปแก้ไขมันก็สายไปเสียแล้ว แล้วก็มาแก้กันตอนนี้แหละตอนที่เรายังพอ มีลมหายใจอยู่นี่แหละให้รู้ตัวว่าพวกเรา ยังมีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่อยู่ภพน้อย ภพใหญ่เกิดแล้วโตเกิดมาแล้วก็แก่แล้วก็ เจ็บแล้วก็ตายเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน ลักษณะนี้ก็เป็นเพราะเหตุคือกิเลสทั้ง หลายนี้ให้เราสังเกตดูอีกอันหนึ่งว่าบาง หมู่บางพวกนั้นบางคนมีโลภมากบางคนมีโลภ น้อยที่ไปที่มามันเป็นไปอย่างไรถ้าเกิด ขึ้นมาแล้วเป็นโลภมากก็คืออานิสงส์จากการ เบียดเบียนจากการทำร้ายทำลายมนุษย์และ สัตว์ทั้งหลายพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือเคย ทำการผิดศีลในข้อหนึ่ง ปาณาติปาตา เวรมณีผลมันจึงเป็นอย่าง นี้พี่น้องญาติโยมลูกหลานกัลยานิมิตทั้ง หลายความประพฤตินอกอกนอกใจเป็นชู้สามี ภรรยากับคนอื่นตามใจชอบอะไรเหล่านี้สมัย ใหม่เขาเรียกว่ากิ๊กอะไรนั่นน่ะก็พากัน สมมติเรียกตั้งชื่อเรียกให้มันดูเท่ดูเก๋ ขึ้นมาแต่ไม่ว่ามันจะชื่ออะไรมันก็เป็น เหตุให้เกิดการกระทบกระเทือนในครอบครัว สามีภรรยาต่างก็อาจจะตบตีหย่าร้างกันหนัก ๆเข้าก็ฆ่ากัน ตายตายไปฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเรื่องของนรกถ้า อยากไปนรกก็ไม่ว่ากันแต่ถ้าอยากจะไป สวรรค์ก็ให้พากันหยุดเถิดกับการกระทำแบบ นี้ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกิน ไปแนวทางของศีลสมาธิปัญญานั้นเองนอกจากจะ เป็นเส้นทางนำชีวิตเข้าสู่สุขสมบัติแล้ว ศีลธรรมนี้ยังคุ้มครองและปกป้องไม่ให้พวก เราตกไปในที่ชั่วคืออบายภูมินั่น เองบุคคลใดที่มีความอิจฉาริษยาต่อบุคคล อื่นที่เขามียศยศฐาบรรดาศักดิ์มากกว่าไม่ มีความยินดียินร้ายพอใจมีแต่ความอิจฉา ริษยามุ่งปองร้ายต่อเขาทั้งกายวาจาแล้วก็ ใจผลอันนั้นจึงนำมาเกิดภพนี้ชาติ นี้จึงทำให้เป็นผู้มีศักดาอานุภาพน้อยจะ สร้างความดีได้จะสร้างบุญได้ก็ต้องอาศัย การได้ยินได้ฟังเมื่อได้ยินได้ฟังแล้วการ ต้องอาศัยรูปสมบัติสร้างคุณงามความดีก็ คือต้องอาศัยกายนี้แหละลงมือทำธาตุรู้คือ ดวงจิตดวงใจอันนี้จะเหนือกิเลสได้ก็ต้อง อาศัยหลักคำสอนขององค์ศาสดาเท่านั้นเอา ไว้เป็นแนวทางที่คอยชี้ว่าอะไรถูกอะไร ผิดผลของศีลธรรมนี้เป็นสมบัติอันล้ำค่า ของมนุษย์ทั้งหลายจนถึงพระ นิพพานคือจุดหมายปลายทางความสุขที่ สมบูรณ์ที่สุดไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไม่แปร ปรวนที่เรามาฝึกให้รู้ตัวก็เพราะว่าใจของ เราเป็นที่อยู่ที่อาศัยของ กิเลสสติมันต้องรู้ตัวไม่งั้นแล้วจะเลือก เฟ้นไม่ถูกว่าอะไรคือศีล ว่าอะไรคือธรรมว่าอะไรคือ กิเลสโลกของสัตว์เดรัจฉานเขามีความยินดี พอใจในเหตุ 3 ประการคือ 1 ยินดีในการกิน 2 ยินดีในการนอนและ 3 ยินดีในการสืบ พันการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิน้อยภพ ภูมิใหญ่สูงๆต่ำๆลุ่มๆดอน จึงเป็นสิ่งที่พวกเราควรที่จะเรียนรู้เอา ไว้ถ้าดีที่สุดถ้าเผื่อเป็นไปได้เข้าสู่ มรรคผลนิพพานเป็นดีที่สุดเลิศเลอที่สุด ถ้าทำให้จิตใจเข้าสู่มรรคผลนิพพานได้ เพราะเราจะไม่เวียนว่ายตายเกิดร่างกายเรา สกปรกเราเอาน้ำเป็นสิ่งชำระล้างแต่ความ สกปรกทางใจเราก็เอาน้ำศีลน้ำธรรมเข้าไป ชำระ ล้างน้ำศีลน้ำธรรมนี่แหละคือน้ำสะอาด บริสุทธิ์ความแก่ความเฒ่าก็ให้รู้ล่วง หน้าเอาไว้ความเจ็บไข้ได้ป่วยก็ให้รู้ ล่วงหน้าเอาไว้ความพลัดพรากความจนถึงความ ตายเราควรที่จะรู้ล่วงหน้าเอาไว้ว่าพวก เราจะได้ฝึกทำใจฉะนั้นการฝึกฝึกทำใจเรียก ว่าปฏิบัติศีลปฏิบัติ ธรรมกำหนดรู้ ทุกข์ก็เพื่อให้เกิดความกลัว โอตัปปะย้อนเข้าสู่ธาตุรู้คือจิตใจให้ เกิดความกลัวในสิ่งที่มันเป็นทุกข์เป็น โทษเป็นบาปเป็นกรรมมากขึ้น ฉะนั้นวิธีจิตรู้ตามความเป็นจริงอันนี้ จึงเป็นการบรรเทาเรื่องของกิเลสตัณหาให้ เบาบางลงนี่เป็นการยกฐานะของจิต ใจถ้ามองในแง่ของ อสุภะความสกปรกไม่มีอะไรที่น่าเกลียดเท่า ที่เกิดจากความเป็นมนุษย์ทั้ง กลิ่นนั้นแสดงถึงความเป็นของสกปรก โสโครกจะรู้ได้ในลักษณะนี้คือการตั้งใจ ขึ้นมาเพื่อตั้งสติ ขึ้นมากำหนดดูตามความเป็นจริงของมันนั่น แหละเราก็จะได้เห็นความจริงที่มันซ่อน อยู่กิเลสโลภโกรธหลงมันมี อยู่พระพุทธเจ้าสอนว่าให้เรารู้ตัวแต่ อย่านำไปใช้เมื่อนำไปใช้มันผิดมันไม่ดี ดับกิเลสก็ให้มาดับกันที่ใจนี่แหละสติสติ กับปัญญานี้เป็นเจ้าของรักษาใจเมื่อเรา ใช้สติกับปัญญาเรียนรู้กิริยามารยาทที่มี อยู่ภายในจิตใจอารมณ์ที่มีอยู่ภายในจิตใจ ด้วยสติอันชอบด้วยปัญญาอันชอบผลมันก็จะ ปรากฏขึ้นในความรู้สึกภายในจิตใจของเรา นั่นเองมันเป็นปัจจัยรู้ได้เฉพาะตน วางจิตวางใจให้มันถึงความเบาสบายวางไว้ เป็นพื้นฐานเอาไว้ถ้าเราไม่นึกถึงถ้าเรา ไม่ชำระกำจัดตรงนี้แล้วอวิทาคือมืดมนอด ทนความหลงความวุ่นวายด้วยกิเลสความโลภ ความโกรธความหลงก็เต็มอยู่ในนั้นแหละมัน ก็มีแต่เรื่องมีแต่ความวุ่นวายเท่า นั้นเราดูลมหาย ใจลองดูหายใจลมหายใจเข้าหายใจออกเครื่อง กำกับลักษณะนี้ท่านจะว่าภาวนาด้วยการ กำหนดรู้ดูอยู่ลมหายใจเข้าออกนั่นแหละคือ อานาปานสติความประคับประคองต่อเนื่อง ละเอียดอ่อนเข้าไปจนเหลือแต่ความรู้มันจะ เข้าใจว่าสมาธิได้แก่การตะล่อมจิตเข้าสู่ ความรู้เหลือแต่ความรู้ความสงบนิ่งใสเย็น อกเย็นใจอยู่อย่าง นั้นตามหลักท่านว่า อัปปนาสมาสติการฝึกลักษณะนี้อาศัยสติเป็น กำลังขาดสตินั้นไม่ได้การฝึกตัวเองทำไม จึงต้องมีการฝึก ก็เพราะใจของพวกเรานั้นยังไม่มีความเป็น ศีลเป็นธรรมพอที่จะให้เกิด กำลังถ้าใจไม่มีกำลัง ภาษาเราก็คือใจไม่เข้มแข็งใจไม่หนักแน่น มันมีอะไรเป็นเครื่อง วัดที่ว่าใจไม่เข้มแข็งไม่หนักแน่นความ ไม่หนักแน่นความไม่เข้มแข็งภาษาธรรมท่าน ว่าลักษณะอาการของกิเลสส่วน มากพวกเราพากันไปมุ่งเน้นการแต่งเนื้อ แต่งตัวไม่ได้เน้นในหลักของการแต่งใจจริง ๆแล้วตัวของพวกเราเองมันมีทั้งกายและจิต ใจควรจะเน้นหนักในการแต่งใจนี่เป็นอันดับ ต้นใจดีเป็นสีแก่กายใจร้ายทำลายทั้งกาย และใจความจนไม่ใช่ให้สิ่งที่น่ารังเกียจ ความชั่วต่างหากที่น่า รังเกียจขัดใจคนอื่นเราอาจได้ศัตรูขัดใจ ตนเองเราอาจเป็นผู้ ตรัสรู้หยุดคิดคือหยุดดูหยุดดูคือหยุด กรรมปัญญาคือความฉลาดรักษาใจไม่ให้ทุกข์ เฝ้ามองใจตนเองเป็นผู้ระมัดระวังในเหตุ เป็นผู้รักษาใจตนเองอยู่ เสมอการส่งจิตส่งใจออกไปวุ่นวายไปตัดสิน คนอื่นสิ่งอื่นนั้นนี่คือจิตใจที่ยังโง่ อยู่การขัดใจฝืนใจตนเองมันเป็นทุกข์ที่ทน ได้ ยากผู้ใดขัดใจฝืนใจของตนเองได้ผู้นั้น แหละคือผู้ไม่ประมาทอันว่าผู้รู้ธรรมนั้น มันมีอยู่มากมายเพราะผู้รู้ธรรมก็รู้มา จากตำราบ้างรู้มาจากการอ่านรู้มาจากการ ฟังฟังมากอ่านมากก็รู้มากนั่นมันยังไม่ ใช่เป็นการที่รู้จริงเป็นการรู้ในความจำ ในสัญญาขันธ์เท่านั้นแต่มันก็ยังดีกว่า ไม่รู้อะไรเลยอย่างน้อยๆก็ได้นำเอาความ รู้เหล่านี้ไปชั่งไปตวงไปพินิจพิเคราะห์ หาเหตุหาผลอาการของการพินิจพิเคราะห์นั่น แหละคือมรรคแต่ผู้ที่เข้าถึงธรรมนั้นยัง มีน้อยเพราะมันเป็นเรื่องที่สวนกระแสใจ ของตนเองเอาชนะจิตใจของตนเองครูบาอาจารย์ ท่านหนึ่งท่านตั้งคำถามเป็นปริศนาธรรมว่า หากว่าเรากินข้าวเราจะรู้ผลของการกินข้าว ตอน โดยส่วนใหญ่ทุกคนก็มักจะตอบว่าตอนอิ่มตอน ที่เรากินข้าวอิ่มนั่นแหละคือ ผลอาจารย์ผู้นั้นก็ให้คำตอบกับลูกศิษย์ ว่าถูกต้องแต่ท่านก็ชี้แจงว่าถ้าตอบอย่าง ผู้มีปัญญาเขาจะตอบอย่าง นี้ตอบว่าผลที่ได้จากการกินข้าวมันจะเป็น ดังนี้คือตอนที่เรานั่งมองกับข้าวในจาน ว่าวันนี้เราจะทานเรามีอะไรกินบ้างเราก็ รู้ว่ามีกับข้าวกี่อย่างตรงนี้ก็เหมือน กับเรามาอ่านเราฟังธรรมคือเราก็รู้ธรรม ข้อนั้นข้อนี้ที่อยู่ต่อหน้าแต่ธรรมของ การปฏิบัติยังไม่มีผลเหมือนกับเรายังไม่ ทันได้ลงมือข้าวเรามัวแต่นั่ง กับอ่านข้าวอยู่กับข้าวคืออาหารของกาย ธรรมะคืออาหารของใจเมื่อเราเอาช้อนตัก ข้าวตักกับข้าวที่อยู่ในจานนั่นคือการ ปฏิบัติการลงมือกิน ข้าวก็จะเริ่มต้นแล้วธรรมะก็เช่นกันถ้า เราเริ่มต้นลงมือปฏิบัติมรรคก็เริ่มเดิน แล้วเราก็เดินเข้าไปใกล้ความสำเร็จทีละ ก้าวทีละก้าวพอข้าวถูกส่งเข้าไปในปากทุก ส่วนอวัยวะในปากก็เริ่มทำงานฟันก็ขบ เคี้ยวลิ้นก็ตวัดลิ้มรสธรรมะเช่นเดียวกัน พอเราลงมือปฏิบัติเราก็จะได้ลิ้มรสชาติ ของ ธรรมะสภาวะของธรรมในแต่ละขั้นเหมือนกับ เรารับรู้รสชาติของอาหารเหตุเ็ดเปรี้ยว เค็มหวานหรือ ขมตอนที่อาหารอยู่ในปากมันก็จะผ่านกระบวน การของการเคี้ยวอาหารหยาบๆให้แลกกระบวน การ นี้มันก็จะใช้เวลาอยู่ชั่วระยะเวลานึงพอ อาหารแหลกละเอียดได้ที่อาหารที่อยู่ในปาก ก็ถูกส่งเข้าไปผ่านทางลำคอเข้าไปการ ปฏิบัติทำก็เป็นเช่นนั้นเมื่อทำข้างนอก พิจารณาจนละเอียดดีแล้วมันก็จะเคลื่อน เข้าไปสู่ข้าง ในอาหารมันก็จะไหลผ่านหลอดอาหารลงไปจนไป ถึงกระเพาะกระบวนการตรงนี้ก็จะเป็นกระบวน การบดย่อยและก็ดูดซึมให้มันละเอียดลึกลง ไปอีกจนหยาบเหล่านั้นกลายเป็นธาตุกลาย เป็นสาร อาหารธรรมะเมื่อเคลื่อนเข้าไปสู่ข้างในใจ จนถึงจิตใจแล้วใจมันก็จะมีกระบวนการแยก ย่อยก็เหมือนกับอาหารกลายเป็นธาตุกลาย เป็นสารตรงนี้แหละความละเอียดของอาหาร เมื่อมันกลายเป็นธาตุแล้วมันก็กลายเป็น สิ่งละเอียดก็จะถูกกระเพาะดูดซึมส่งต่อไป ยังอวัยวะต่างๆอาหารหยาบๆที่เห็นตั้งแต่ ต้นได้ผ่านกระบวนการบดย่อยมาไม่รู้กี่ ชั้นจนมันเป็นธาตุละเอียดที่มีประโยชน์ ต่อร่างกายนั่นแหละการกินของเราจึงค่อย เป็นผลสำเร็จนี่ผลมันอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ อยู่ที่การ อิ่มไอ้การที่เราอิ่มนั้นมันเป็นเพียงแค่ ความรู้สึกแต่มันไม่ใช่ปัญญาที่เข้าไปรู้ สภาวะโดยแท้ และเราต้องมองให้เห็นความละเอียดจนกลาย เป็นทาสนั่นแหละจึงจะเห็นความจริงโดย แท้การปฏิบัติธรรมก็เช่นกันมันต้องผ่าน กระบวนการแยกย่อยเหมือนกับเรากินข้าวเรา โบข้าวให้ละเอียดโดยใช้ฟันใช้ลิ้น ธรรมะก็เช่นกันเราจะพิจารณาให้เห็นจนถึง ความละเอียดเราก็ต้องใช้ศีลและสมาธิเป็น เครื่องมือในขั้นตอนของการ พิจารณากระบวนการตรงนี้ก็ต้องใช้เวลาอยู่ ช่วงระยะเวลานึงจนเห็นความละเอียดของธาตุ ขันธ์แล้วนั่นแหละมันจึงเป็น ผลที่เกิดขึ้นเมื่อได้มาถึงตรงนี้ตัว ปัญญาจะเกิดขึ้นผู้รู้ที่แท้จริงก็จะอยู่ ตรง นี้ปัญญาจะรู้ธาตุในขันธ์อย่างละเอียดลึก ซึ้งมันก็จะเข้าใจในความเป็น สมมุตติธาตุตรงนี้แหละการปล่อยวางจะเกิด ขึ้นได้อย่างแน่นอนเพราะจิตมันมีปัญญามัน เข้าใจว่าไอ้เจ้าขันธ์ ธาตุมันไม่มีตัวตนมันเป็นอนัตตามันเป็น เพียงธาตุที่จิตหลงไปยึดเอาเท่านั้นแหละ ท่านจึงเรียกว่าผู้เข้าถึงธรรมอย่างแท้ จริงกระบวนการอยู่ในระหว่างการเดินมรรค มันจึงจำเป็นต้องใช้กำลังใจในการปฏิบัติ ก็เหมือนกับเราต้องใช้กำลังปากกำลังขา กรรไกรในการเคี้ยวข้าวบดข้าวให้ละเอียด มันต้องใช้ความอดทนและการเอาชนะจิตใจของ ตนเองก็เหมือนกับบางคนที่กำลังกินข้าว อยู่แต่ไม่ได้ใส่ใจในการกินก็หยุด กินเพราะเอาใจไปใส่ใจในที่อื่นเขาผู้นั้น ก็จะไม่พบกับความอิ่ม ธาตุและสารอาหารก็ได้น้อยตามส่วนของอาหาร ที่กิน ธรรมะก็เช่นกันการปฏิบัติต้องเอาใจใส่หาก ใจส่ายแซ่ไปทางนั้นทาง นี้เดี๋ยวก็เลิกเดี๋ยวก็หยุดผู้นั้นก็ไม่ มีทางที่จะเข้าถึงทำได้ดอกจะโดนแต่หลอก อยู่ร่ำ ไปยิ่งสมัยทุกวันนี้มีผู้รู้ปรากฏขึ้น อยู่มากมายหากเราไม่เป็นผู้ปฏิบัติจริง เห็นจริงตรงนี้แหละเราจะเป็นคนหลงกับผู้ รู้ผู้ นั้นผู้รู้บางคนก็บอกให้เชื่อเทพเชื่อ เทวดาเชื่อพญานาคบ้างเชื่อนั่นเชื่อนี่ ตามที่เขาคิดอุปโลกขึ้นมาถ้าเราอยากรู้ ว่าผู้รู้ผู้นั้นเป็นผู้รู้ที่แท้จริงมัน พิสูจน์ไม่ยากอารมณ์ของผู้รู้นั้นมันเป็น อย่างไรมีสภาวะแบบไหนถ้าคำตอบของผู้รู้ มันไม่ถึงจิตถึงใจหรือคำอธิบายที่ปนไป ด้วยความโลภความโกรธความหลงเราก็จงอย่าไป เชื่อให้เสียเวลาจงถอยออกมาแล้วเดินไปหา ผู้รู้ผู้ใหม่ดีกว่าจนกว่าเราจะไปเจอผู้ รู้อย่างแท้จริงนั่นแหละแม้แต่พระ พุทธองค์ท่านก็ทรงกล่าวไว้ในหลักของ กามสูตรว่าแม้ธรรมะของพระตถาคต ที่เขลาออกไปพวกเธอก็จงอย่าพึ่งปักใจอย่า เพิ่งเชื่อให้น้อมธรรมเหล่านั้นเข้าไปสู่ จิตใจแล้วนำไปปฏิบัติจนรู้แจ้งเห็นจริง นั่นแหละพวกเธอจึงค่อยเชื่อพระตถาคตผู้ใด เห็นธรรมผู้นั้นจะเห็นเราเห็นจิตย่อมเห็น เหตุจุดเกิดเหตุมันก็อยู่ที่นั่นกิเลส อยู่ที่ไหนธรรมะก็อยู่ที่ นั่นเหมือนกับทุกข์อยู่ตรงไหนที่พ้นทุกข์ ก็อยู่ตรงนั้นเช่นกันมันซ้อนทบกันอยู่ดู มันให้ดีๆดูมันให้ทันอันว่ากิเลสและก็ทำ ให้เรามองง่ายๆอย่างนี้ว่านิสัยของกิเลส มันชอบ วุ่นวายมันชอบพาไปทุกข์นิสัยของธรรมไม่ ชอบส่ายแสวุ่นวายชอบแต่ความสงบเมื่อใจมัน สงบนั่นแหละเป็นธรรมแต่ถ้าใจยังวุ่นวาย เรามองง่ายๆอย่างนี้ ว่านิสัยของกิเลสมันชอบวุ่นวายมันชอบพา ไปส่วนนิสัยของธรรมไม่ชอบวุ่นวายชอบแต่ ความสงบอันนี้ย้ำให้ฟังอีก 1 รอบนั่นแหละ เป็นธรรมแต่ถ้าใจยังวุ่นวายอันนั้นถือว่า เป็นกิเลสเราดูกันง่ายๆแค่ตรงนี้เข้าใจ ง่ายๆอย่างนี้ทั้ง 2 อย่างกิเลสกับธรรม มันทำงานคล้ายๆกันแต่มันสวนทางกันหายใจ เข้าหายใจออกแนบด้วยสติได้ทั้งสมถะและ วิปัสสนาไปพร้อมๆกันสติปัฐาน4ติสมโภช 7 ศีลสมาธิปัญญาบริบูรณ์ได้ใน อานาปันนสติสมาธิสติจำเป็นต้องใช้ทุกกรณี สติเป็นเครื่องกั้นกระแสของ โลกคืออารมณ์มีสติอยู่ในลมหายใจเข้าออก เมื่อมีสติก็มีความเพียรขาดสติก็ขาดความ เพียรสตินี้แหละ เป็นเครื่องกั้นกระแสจงพากันมีสติคอย ระวังรักษาตัวเองอย่าให้มันเป็นคนประมาท เป็นใบลานเปล่ารู้จำท่องมาจากไหนชัดเจน เพียงใดมันก็ไม่ได้ชัดถึงใจเท่ากับเอาใจ มา ปฏิบัติเมื่อปฏิบัติจนเห็นแล้วมันก็จะ เห็นจนชัดเลยทีเดียวเรียนเปล่าเปล่าแล้ว ก็ตายทิ้งเปล่าๆเอาตำรามาอ้างว่าข้าถูก ต้องไม่ได้ทำอันใดเป็นสมบัติของตัวเองกอด ตำราจน ตายทิ้งจากตำราก็ไม่ได้อะไรผู้ที่ได้ผู้ ที่เห็นผู้ที่จะเข้าถึงคือผู้ที่ลงมือ ปฏิบัติเท่านั้นตำราเป็นดั่งแผนที่มีแล้ว อย่ากำไว้ในมือเฉย จงเอามากางออกแล้วก็เดินไปเดินตามไปตาม ทางของแผนที่นั่นแหละผู้ปฏิบัติจริงย่อม เห็น จริงฉะนั้นการลงมือทำนั่นแหละคือมรรค เมื่อเดินไปถึงจุดหมายนั่นแหละคือผลมรรค ผลเกิดขึ้นตรงที่ลงมือทำเท่านั้นจะคิดเอา โดยที่ไม่ลงมือทำหรือเพียงท่องจำกันมาไม่ มีทางได้พบได้เห็นหรอกบทสุดท้ายของชีวิต ก็ตายกันหมดทุกคนใครๆหน้าไหนก็ตายกันทั้ง นั้นป่วยก็ตายไม่ป่วยก็ตาย ฆ่าก็ตายไม่ฆ่าก็ตายให้ตั้งใจอยู่กับลม หายใจด้วยสติตั้งใจไปเรื่อยๆจนกว่าจะตาย ถ้าทำอย่างนี้ได้ไปจนถึงที่สุดตายแล้วจะ ไม่ได้กลับมาตายอีกตายครั้งนี้ครั้งเดียว ครั้งสุดท้าย จบความไม่ยึดติดต่อความคิดนี่มาดูตรงนี้ คิดดีขึ้นมาก็ปล่อยให้มันผุดผ่านไปอย่าไป ยึดว่าข้าคิดดีคิดชั่วขึ้นมาก็ปล่อยให้ มันผุดผ่านไปไม่จำเป็นต้องไปยึดหรืออะไร จะยึดกันไปทำไม ยึดไปก็เป็นทุกข์ความคิดเป็นแค่เพียงสิ่ง ที่ผุดผ่านไปเท่านั้นความคิดนั่นคิดนี่ มันเป็นได้แค่เพียงสิ่งที่เกิดดับเท่า นั้นอย่าให้มันมีอิทธิพลต่อใจของเราความ คิดมันมีอำนาจขึ้นมาเมื่อไหร่นั่นแหละใจ จะไปเสวย อารมณ์เมื่อเราไม่มีความยึดติดกับความคิด มันก็คือการตัดภพตัดชาติให้กับตัวเองภพ ชาติจริงๆนั้นมันเกิดขึ้นทาง มโนกรรมภพชาติภายนอกก็เป็นได้แค่เพียงของ หยาบๆเท่านั้นการเกิดจริงๆคือการเกิดทาง ความคิดหยุดคิดก็หยุดดูหยุดดูก็หยุด กรรมอัตนเกิดขึ้นจากความคิดดูมันให้ดี ความคิดเป็นได้แค่เพียงสมมติเท่านั้นความ คิดคือสมมติสังขารการปรุงแต่งนี่แหละคือ สมมติออกจากความคิดได้คือ วิมุตติหลวงปู่เทศน์ เทศรังสีท่านได้กล่าวไว้ว่าอะไรมันจะมา ศักดิ์สิทธิ์เท่าตัวของเราเท่าใจของเรา มันไม่มีหรอกตัวเราใจเรานั่นแหละเป็นของ ศักดิ์สิทธิ์กรรมดีเราทำมาตั้งแต่ก่อน ชาตินี้เรามาทำเพิ่มใหม่นั่นแหละเป็นของ ดีของเราโดยแท้เมื่อทำจนถึงที่สุดแล้วจะ เห็นความดีจะเห็นความศักดิ์สิทธิ์อย่าง แจ่มแจ้งความสุขที่แท้จริงคือการเป็น อิสระจากสุขและทุกข์อยู่เหนือสุขเหนือ ทุกข์นั่นก็คือความสงบ ปัญญาคือความฉลาดรักษาใจไม่ให้ทุกข์เฝ้า มองใจของตนเองเป็นผู้ระมัดระวังในเหตุ เป็นผู้รักษาใจตนเองอยู่ เสมอการออกไปวุ่นวายไปตัดสินคนอื่นสิ่ง อื่นนี่คือใจยังโง่อยู่การขัดใจฝืนใจของ ตนเองเป็นทุกข์ที่ทนได้และก็ทนได้ยาก ผู้ใดขัดใจฝืนใจตนเองผู้นั้นคือผู้ไม่ ประมาทป่าดงพงสงัดแต่หัวใจมันไม่สงัดมัน ดิ้นของมันอยู่นั่นน่ะ กิเลสนั่นล่ะผาดิ้นจนถึงกับอุปทานในใจโถ มันเป็นอย่างนี้เราอยู่คนเดียวได้ยังไง นี่อยู่ไม่ได้ปราศจากครูบาอาจารย์ไม่ได้ ผู้รู้ธรรมมีอยู่มากมายแต่ผู้ที่เข้าถึง ธรรมนั้นมีน้อยเพราะมันเป็นเรื่องของการ สวนกระแสของใจตนเองเอาชนะใจตนเองทุกข์คือ ของดียิ่งเห็นทุกข์มากเท่าไหร่ยิ่งดียิ่ง ลำบากเท่าไหร่ก็ยิ่ง ดีเราจะได้เห็นโทษของการเกิดช่วงที่ตนฝึก ฝนอย่าไปกลัวความ ลำบากความลำบากนี่แหละจะทำให้เกิดทุกข์ ทุกข์นี่แหละจะทำให้เกิด ปัญญารู้จักคนเป็นร้อยก็ไม่สู้รู้ใจตน เพียงคน เดียวเมื่อถึงเวลาสุดท้ายของชีวิต ธรรมชาติจะบีบคั้นทุกคนให้วางเราไม่หัด วางก่อนมันก็จะเอาอะไรไปไม่ได้เลยแต่เรา มาหัดวางก่อนไม่ดีกว่าหรอก เหรอหรือถ้าจะเป็นไปได้คิดวางตอนสุดท้าย น่ะไม่มีทางหรอกเมื่อสติสมาธิปัญญามี กำลังตั้งมั่นรูปกันเป็นหนึ่งจะเป็นตัว เดียวกันนั่นก็คือ สมถะและ วิปัสสนาการจับผิดตนเองกับการจับผิดคน อื่นมันต่างกันลาวฟ้ากับเหวให้มองลงสู่ใจ ตนเห็นความคิดของตนเห็นความไม่ดีของตน แล้วก็แก้ไขตนนี่คือการฝึกตนโดย แท้มีสติเฝ้ามองอยู่คิดดีก็รู้คิดไม่ดีก็ รู้อะไรมากระทบก็รู้มองลงสู่ใจตนเห็นใจตน อยู่ตลอดเวลาจะเกิดสติปัญญา หากมองออกไปแต่ข้างนอกนั้นมันไม่ใช่ธรรมะ โดย แท้อยู่ที่ใจนั่นแหละ ธรรมะก่อนนอนสอนใจให้ปล่อยวางรวบรวมคำสอน ของครูบาอาจารย์ให้ทุกท่านได้พินิจ พิจารณาค้นหาความจริงที่สถิตในใจของพวก เราไร้เจตนาก็คือทำหรือสร้างเหตุเฉย ตามปกติที่ดำรงชีวิต อยู่สิ่งใดที่ทำแล้วเกิดประโยชน์แก่โลก หรือบุคคลสัตว์อื่นนั่นคือหน้า ที่สติคือยอดแห่งธรรมสติมีให้มากเจริญให้ มากสติมีกำลังรู้เท่าทันความคิดจะช่วยให้ เราไม่ต้องตกเป็นทาตุของ อารมณ์ความคิดเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก สุดสุขทุกข์ก็อยู่ในนั้นอยู่ในวิธีคิดแต่ การจะพ้นออกจากความคิดต้องคิดเห็นเสีย ก่อนภพชาติเกิดอยู่ตรงนี้เราจะเอาชนะใคร ได้มากมายขนาดไหนก็ตามยังไม่ประเสริฐเท่า กับการเอาชนะจิตใจของตน เองเอาให้ชนะความโลภความโกรธความหลงในใจ ตน ผู้นั้นแหละจะเป็นผู้ชนะอย่างแท้ จริงเห็นความจริงคือเห็นความไม่จริงมัน ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปทุกข์ก็เพราะการไม่พอ ใจไม่เคยพออยากได้อยากเป็นเจ้าของอยาก ครอบครองไม่ทุกข์ก็ให้มันรู้ไปสิอยากร่ำ อยากรวยก็ต้องลง แรงลงทุน อยากพ้นทุกข์ก็ต้องปฏิบัติธรรมโดยมีทาน ศีลภาวนาเป็นเครื่องนำพาสู่การพ้น ทุกข์กายอยู่ไหนให้ใจมันอยู่นั่นไม่ใช่ ว่ากายนั่งอยู่นี่แต่ใจมันไหลไปกับความ คิดฝึกจิตให้อยู่ในกายนั่นแหละสิ่งที่ควร เจริญถ้าเราไม่พอใจปล่อยจิตปล่อยใจให้ไหล ไปให้มันฟุ้งซ่านอยู่บ่อยๆจนเป็น นิสัยเวลาที่มีทุกข์เกิดขึ้นก็อย่าไปโทษ กรรมเก่าหรือชาติก่อนเลยให้โทษในปัจจุบัน นั่นแหละที่ไม่ยอมฝึกฝนและไม่ยอม ฝืนจงมีสติมี สัมปชัญญะจะได้ไม่ตกเป็นธาตุของอารมณ์วาง จากอารมณ์นั่นแหละสว่างแท้ใจที่สงบย่อม เข้าถึงความจริงของแต่ละส่วนรู้แล้วเห็น แล้วมันก็ขาดออกจากกันไม่เดือดไม่ร้อน กันต่างกันก็ต่างหน้าที่ของมารไปนี่แหละ ผลของการปฏิบัติมันชัดแจ้งอย่างนี้มันขาด แล้วซึ่งตัณหาที่ข้องจิตขาดแล้วซึ่งความ ยึดถือยึดมั่นในสิ่งทั้งหมดทั้งมวลสุขก็ เพราะคิดทุกข์ก็เพราะ คิดแต่ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ก็ตามนั้นยัง ไม่ปลอด ภัยใครที่ออกจากโลกของความคิดคิดได้ก็จะ เห็นความจริงอาวุธหยุดคิดนั่นก็คือ สติเราจงอย่าอยู่ด้วยความหวังแต่ให้อยู่ ด้วยสติ ปัญญาทำอะไรก็ทำไปอย่าไปหวังมากทำให้มัน ถูกต้องผลมันจะมาเองหวังมากเมื่อไหร่หาก ประสบกับความผิดหวังผลที่ได้คือใจเป็น ทุกข์ไม่ต้องหวังให้มันมากเกินที่จะกัด กินหัว ใจหวังว่าเมื่อไหร่มันก็จะกัดกินหัวใจของ เราเมื่อ นั้นคนเราเชื่อในสิ่งใดก็ย่อมยึดในสิ่ง นั้นท่านจะเชื่อสิ่งใดนับถือสิ่งไหนศาสนา ใดนั้นไม่ สำคัญสิ่งที่สำคัญคือทุกข์มันเกิดขึ้นที่ ใจเพราะมีใจจึงมีเรามี เขาการเห็นแจ้งในสัจธรรมคือการเห็นทุกข์ เห็นความจริงว่ามันไม่จริงแม้แต่ตัวเราก็ ไม่มี จริงเมื่อถึงเวลาของเราก็ต้องยอมทิ้งกับ สิ่งที่เรายึด อยู่มนุษย์เป็นสัตว์ประเภทเดียวที่มีกาย หยาบมีใจมีสติมีปัญญาที่เหมาะสมกับการ ปฏิบัติธรรมมากที่ สุดพระพุทธเจ้าพระปัจจเจกพุทธเจ้าพระ อรหันต์พระอนาคามีพระ สกิทาคามีพระ โสดาบันต่างก็มาพิจารณาจนถึงขั้น ตรัสรู้ก็อยู่ในกายของมนุษย์นี้นี่แหละ ท่านจึงว่ามนุษย์คือสัตว์ผู้ ประเสริฐเมื่อเราได้เกิดมามีความประเสริฐ ประจำตัวแล้วเรายังจะปล่อยจิตปล่อยใจให้ หลงใหลไปสู่ที่ต่ำอยู่อีก หรือลองคิดดู ธรรมอันส่วน โลกก็เต็มไปด้วยเหตุผลหรือความคิดนึกด้วย เจตนาส่วนธรรมะหาทางหยุดเหตุเพราะมีเหตุ ย่อมเกิดผลเหตุดีย่อมผลดีอุปมาอย่างนี้ การสร้างเหตุอันละเอียดคือ มโนกรรมหรือความคิดปรุงแต่งจิตตสังขาร ธรรมะแท้ๆนั้นจึงต้องหยุดคิดหยุดปรุงแต่ง นั่นเองหนทางแห่งนิพพานให้จิตแนบอยู่กับ ลมจิตที่ตั้งมั่นอยู่กับลมได้จิตจะไม่ไป เกาะในสัญญาเวทนา สังขารพอจิตไม่ไปเกาะกับนามอื่นจิตเกาะ แนบชิดอยู่กับลมพอลมดับจิตดับไปกับลมพบ กันที่นั่นตายไปกับลมก็เพราะลมพาเราเข้า ไปสู่ความว่างความสว่างและความจริงนั่น เองจิตรวมเมื่อจิตสงบคำบริกรรมต่างๆก็จะ กลายเป็นของหยาบเกินไปเพราะถึงจุดนั้น ความละเอียดจะลึกซึ้งมากสำหรับจิตชนิดนี้ จิตจะปล่อยคำบริกรรมแต่จะมีความรู้เด่น อยู่ในลมเห็นลมชัดเจนเมื่อมันละเอียดเข้า ไปอีกลมก็จะหายความรู้สึกทางกายขาดมีความ รู้ตั้งอยู่ในความสว่างไสวจิตทิ้งรูปกาย คือสัญญาความจำไม่ปรากฏสังขารก็ไม่สามารถ ปรุงแต่งได้สุดท้ายก็เหลือเพียงความว่าง เปล่าเท่า นั้นจิตชนิดนี้จะมีกำลังมากเพราะไม่เคย ได้ยินไม่เคยได้ฟังเพราะยังไม่ได้ศึกษา เพราะไม่รู้หลักก็เลยหลงอยู่ในกระแสของ วัฏจักร ที่ยาวนานถูกความมืดบอดปกคลุมเที่ยวแสวง หาความมั่นคงที่ไม่จริงหลงไปจริงจังกับ เรื่องที่ไม่จริงเอาเป็นเอาตายกับเรื่อง หลอกลวงเรื่องที่ควรจริงจังกลับทำ เล่นที่ควรทำให้เป็นสมบัติของใจตนกลับมอง ข้ามอานาปนสตินี่แหละคือของดีเราไม่ได้ ฆ่ากิเลสแต่เราทำลายลังของกิเลสมันก็ใช้ ลมหรืออานาปนสิตินี่แหละเข้าไปจัดการ อุปมาเหมือนกับเราไม่ได้ไปไล่ดับหลอดไฟ แต่เราสับคัทเลงทีเดียวคือเราไปทำลายตัว วงจรที่เชื่อมต่อระหว่างกันตัวเหตุมัน อยู่ตรงนี้ต้นตอมันก็อยู่ตรงนี้ขันธ์ 5 กับสติไม่มีความยึดถือยึดมั่นว่าขันธ์ 5 คือเราเมื่อคัทเลงหลอดไฟทุกดวงที่อยู่ใน วงจรก็ไม่สามารถติดได้อีกกระแสแห่ง ปฏิจจสมุทรบาทถูกตัดขาดกระบวนตัวนี้ก็ล่ม สลายไปเองดับหมดดับได้ที่ใจทุกอย่างก็ดับ หมดการเกิดเป็นทุกข์อย่าง ยิ่งถ้ายังไม่เห็นโทษของการเกิดก็ยังห่าง ไกล สัจธรรมวิธีการรู้ลมคือเอาความรู้สึกตาม ลมที่ไหลเข้าออกหรือเอาไว้ที่ปลายจมูก กำหนดจดจ่อดูไปเรื่อยๆอยู่อย่างนั้น สำหรับคนที่ฝึกใหม่ก็ต้องคอยอาศัยลมยาวไป ก่อนจึงจะจับลมได้ง่ายหายใจเข้าไปยาว หายใจออกยาวๆทำอย่างนี้ไปก่อนเรื่อยๆดูลม ให้ชัดๆเมื่อคล่องแล้วก็ค่อยมาดูลมสั้นๆ ถ้าเข้ามาดูลมสั้นเลยจิตจะจับลมไม่ทันลม ก็จะมีอยู่ 3 ขนาดอย่างยาวอย่างสั้นและ อย่าง ละเอียดถ้าหากว่าเราเข้าถึงฐานความสงบ แล้วมันจะไม่มีความคิดแทรกเข้ามาได้เลย รู้เด่นอยู่ภายในมีความเฉลียวฉลาดในการ เรียนรู้อยู่ภายในเห็นเงื่อนเห็นปมเห็น ความบีบคั้นเห็นความทุกข์ที่ซ่อนอยู่เห็น การขัดแย้งเห็นการเปรียบเทียบหน้าที่ก็ คือแค่รู้จักแล้วก็วางลงเท่า นั้นเราเห็นทุกข์นั่นแหละเราจะเห็นต้นตอ ของสิ่งทั้งปวงให้เราอดทนเรียนรู้อยู่กับ สิ่งที่เราจะต้องเผชิญความทุกข์ที่บีบ คั้นให้เราเฝ้าดูเรียนรู้ย่อมรับแต่ไม่ ตัดสินเฝ้ารู้แบบโง่ๆอยู่อย่างนั้นสิ่ง ที่เรายินดีสิ่งที่เราพอใจนั่นแหละที่ เป็นตัวฉุดร้างเราไว้ทำให้เราเสียเวลามาก ที่ สุดทำให้เราเมาทำให้เราเพลินทำให้เราติด ข้องไปไหนต่อไม่ ได้นักภาวนาถ้าไม่เห็นอารมณ์ของตนเองก็ หมดค่าหมด ราคาและให้เห็นชัดลงไปว่าเหตุของอารมณ์ นั้นมาจากไหนสติที่ฝึกไว้ดีแล้วจะรู้เท่า ทันอารมณ์ของตนเองและไม่ปล่อยให้อารมณ์ นั้นตั้งอยู่ได้นานนี่เรียกว่าปัญญาความ ทุกข์เกิดขึ้นจริงเพียงครั้งเดียวแต่ความ คิดเกิดวนเวียนซ้ำซากนับครั้งไม่ ถ้วนการเอาชนะความกลัวมีอยู่ 3 วิธี คือ 1 เชื่อมั่นว่าเรามีศีล 2 ระลึกว่า เรามีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เป็นบุตรของ พระ พุทธเจ้า 3 เชื่อในกรรมเก่าและการยอมรับ สติเป็นกัลยานิมิตทั้งหมดของจิตสติคือที่ หลบภัยเมื่อมีสติเกาะกับลมความคิดความ ปรุงแต่งจะไม่ปรากฏลองนึกตึกตรองดูให้ดี ว่าในวันๆนึงเราทุกข์เพราะ อะไรถ้าไม่ใช่เพราะความคิดมันลากเราขึ้น ไปสวรรค์ ลากเราลงนรกก็เพราะความคิดปรุงแต่งนี่ แหละพาเราเป็นบ้าเป็นบ่ออยู่ทุกวันถ้าเรา มีสติอยู่กับลมหายใจศีลจะรวมอยู่กับสมถะ ไม่ทรงจิตออกนอกก็เป็น อธิศีลที่ศีลไม่มีไม่สมบูรณ์ก็เพราะยังพา กันคิดเรียกว่ามโนกรรมอันละเอียด อานาปนสติ มีสติอยู่ในลมหายใจเข้าออกความคิดก็จะ เป็นเพียงสิ่งที่ผุดผ่านเท่านั้นมันเกิด ขึ้นแล้วก็ดับไปหากหยุดคิดไม่ได้ไม่มีทาง สงบดอกอุปทานคือตัวปรุงตัวเกิดเมื่อใดที่ เห็นว่าเราไม่ได้คิดแต่มันคิดเราก็ไม่ เกิดที่ยังเกิดอยู่ก็เพราะว่าเราเห็นว่า เราคิดแล้วปรุงแต่งต่อมันเลยวางไม่ ได้ควรเพียรอยู่ในฐานของ อานาปนสติมีสติผูกไว้กับลมหายใจที่เข้า ออก 1 นั่ง ภาวนา 2 ทำใจให้ สบาย 3 สุดท้ายทำใจให้ บริสุทธิ์พูดถึงอารมณ์นั้นเราเป็นคนสร้าง มันขึ้นมาเองและหลงเป็นธาตุของอารมณ์เอง อารมณ์ทั้งหลายเกิดจากความปรุงแต่งและ ความคิดจะดับมันก็ต้องไปดับที่ต้นเหตุ เหตุมันอยู่ที่ไหนคือนั่งทำใจให้มันสงบ ให้มันละเอียดลึกเราก็จะได้เห็นต้นต่อของ เหตุความคิดถึงความห่วงใยเป็นบ่วงคล้องใจ ของผู้ที่เป็นเจ้าของของมันแต่ต้องจ่าย ด้วยราคาอันแสนแพงคือการเกิดการตายหลายภพ หลาย ชาติการเกิดของพวกเราแต่ละชีวิตดังพระ พุทธองค์ท่านได้ทรงอุปมาไว้ว่า วัฏฏสงสารน้ำตาแห่งการจำพรากมากมายดั่ง ท้องทะเลกระดูกกองดั่งภูเขาใครเลยจะรอด พ้นวัฏจักรอันวนเวียนที่ไม่มีทางสิ้น สุดจิตที่เฝ้าจับทุกข์เฝ้าระวังอาการของ จิตอยู่ตลอดเวลาเห็นเพียงแต่เหตุคือทุกข์ เฝ้าระวังรักษาเหตุระมัดระวังกรรมเพียร ปฏิบัติอยู่ในหนทางนี้ความปรุงแต่งคือ เหตุของการเกิดทั้งปวงทั้งดีและชั่วไม่ ได้ทำให้คนอื่นนี่คือทำให้ตนเองทั้ง อยากเห็นนรกอยากเห็นสวรรค์ก็ต้องดูที่ใจ ของตนเองนี่แหละสิ่งที่ห้ามได้ยากสิ่งที่ ทนได้ยากสิ่งที่ละและก็สิ่งที่เห็นได้ยาก แม้มันจะยากเพียง ใดแต่มันก็มี วิธีใจที่เป็นกลางจะเรียนรู้ได้เร็ว สุดของการศึกษาก็คือการศึกษาความจริง เมื่อใดที่ความรู้กับความจริงมันตรงกัน นี่คือ 9 ผลจากความทุกข์ที่มันทุกข์ก็ เพราะมันหลงถ้ามันเห็นความจริงจนแจ่มแจ้ง แล้วใจมันยอมรับความจริงได้มันก็จะไม่ ทุกข์อดีตอนาคตเกิดขึ้นในความคิดความ สงสัยก็เช่นกันหากไม่เห็นความคิดอย่าง แจ่มแจ้ง แล้วจะตกอยู่ภายใต้อำนาจของความคิดบุคคล ใดเห็นความคิดไม่ใช่ว่าเราจะไม่เข้าไป ปรุงแต่งในความคิดนั้นความคิดกับเราดูให้ ดีๆมันมีหน้าที่ต่างกันแต่ถ้าคำว่าตัวเรา กับความคิดไปเกี่ยวพันกันเมื่อไหร่ความ ปรุงแต่งก็เกิด ขึ้นเมื่อนั้นอย่าลืมว่าความปรุงแต่งนั่น แหละคือตัว สมมติดูดีๆพิจารณาดีๆใครเป็นคนปรุงแล้ว ปรุงมันทำไมปรุงแล้วเป็นทุกข์เราโง่เอง หรือเปล่าที่หลงไป เชื่อสมมุติเมื่อความคิดเกิดความปรุงแต่ง ก็สมมติขึ้นมาใครล่ะสมมติก็เราเองนั่น แหละสมมติขึ้นมาเองแล้วก็ไปเชื่อเองมันจะ ไปต่างอะไรกับหลอกตัวเองหลอกให้ตัวเอง เป็นทุกข์อันนี้บ้าหรือเปล่าอย่างดีอย่า วิเศษแก่ความหลงอันนี้ไม่มีอะไรดีเท่ากับ ลมหายใจหรอกลองนึกดูดีๆสิว่าในเวลาที่เรา โมโหนั้นหากเราปรุงแต่งแล้วอารมณ์โมโห นั้นมันจะลากเราไปถึง ไหนลากไปก่อกรรมลำเคนลากไปทำนั่นทำนี่สุด ท้ายมันก็กลับมาทำลายตนเองนั่นเห็นมั้ย แต่ถ้าอารมณ์โมโหเกิดขึ้นเมื่อไหร่ให้เรา มีสติแล้วกลับมาดูที่ลมหายใจของเราก่อน ตอนที่มันโมโหเด่นอยู่นั้นอย่าเพิ่งตาม ให้สวนกระแสกลับมามาดูลม ดึงลมหายใจเข้าไปสัก 2-3 ทียาวๆเราจะเห็น ความผ่อนคลายความโมโหตัวใหญ่ๆมันก็จะค่อย ๆเล็กลงนั่นลมหายใจมันแก้ความโหลงได้ อย่างนั้นไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับ ชีวิตเราให้เรากลับมาดูที่ลมหายใจก่อนลม หายใจนี่แหละจะพาเรามีสติสัมปชัญญะ หากว่าเราดูลมหายใจบ่อยๆเราจะเห็นความไม่ เที่ยงในลมหายใจนั้นเราจะเห็นกฎของไตรรัก ชัดเจนยิ่ง ขึ้นอัตราตัวตนก็จะค่อยๆโดนทำลายลงจนกว่า จะถึงที่สุดคือความไม่มีตัวตนนั่นแหละ อนัตตาเมื่อถึงความเป็นอนัตตาแล้วมันเบา สบายเลย นะให้เราลองมองดูสีหน้าคนที่มีอัตตาตัวตน สูงๆดูสิสีหน้าของเค้าแววตาของเค้ามีความ สุขมั้ยคนแบ่งอัตตาคือคนโง่นะรู้ว่าอัตตา เนี่ยมันหนักแต่เขาก็ยังพากันแบกอยู่แม้ เขาจะดูผู้ใช้ชีวิตที่สนุกสนานมีความสุข แต่ภายในจิตใจของเขามีแต่ความรุ่มร้อน สูงแค่ให้เราเข้าใจกับลมหายใจเข้าออกให้ ได้เราก็จะ เห็นทั้งความคิดเห็นทั้งเวทนาไปพร้อมๆกัน ให้มันดูลมหาย ใจของใครของมันไม่มีใครหายใจแทนกันได้ ภาวนาแปลว่าพัฒนาให้มันพัฒนาใจนำศีลธรรม เข้าสู่จิตสู่ใจหลายคนคิดว่าธรรมะเป็น เรื่องของพระเป็นเรื่องของวัดแท้ที่จริง แล้วธรรมะเป็นเรื่องของชีวิตใจที่ขาดศีล ขาดธรรมจะเหลวไหลมากกว่าสิ่งอื่นสัตว์ อื่นใดที่มีธรรมะมีสติปัญญาจะวาง ได้มีความสุขมากกว่าสิ่งอื่นเช่น กันสุขในที่นี้หมายถึงความสงบทางใจไม่มี อะไรจะมีความสุขเท่าความสงบความสงัดทางใจ ดอกปรุงแต่งตอนไหนมันก็เกิดตอนนั้นแหละขอ ให้เราเห็นความคิดของตนเองไหลเข้าไปปรุง แต่งตอนไหนก็เกิดตอนนั้นแหละทำอย่างไรถึง จะไม่เกิดอีกมันสำคัญตรงนี้หยุดคิดปรุง แต่งนั่นแหละคือสิ้นสุดแห่ง วัฏฏสงสารการเกิดมันจบกันตรงที่ความปรุง แต่งหยุดปรุงแต่งได้เมื่อไรใจสงบเมื่อ นั้นลองดูสิลองดูสักครั้งจากความคิดจาก ความเชื่อจะกลายเป็นการกระทำเมื่อเราแยก ไม่ขาดจากความคิดไม่มีทางดอกที่จะมีอำนาจ เหนือความคิดได้ปุถุชนหมายถึงผู้อยู่ใต้ อำนาจของความคิดความคิดเราอุปมาเหมือนกับ ม้าแข่งความคิดคือม้ามันเร็วม้าเร็วมักจะ วิ่งแซงเราตลอดบางทีมันก็แซงเราไปอย่าง ไม่รู้ตัวกว่าจะไล่ตามมันทันเราก็เหนื่อย แสน เหนื่อยแต่ถ้าหากว่าเราฝึกมาดีเรามีม้าดี ม้าเร็วเช่นกันมันย่อมไล่ตามทันความคิด นั้น ได้หากเราฝึกมามากเจริญมามากจนม้าของเรา มีความเร็วฉับไวคล่องแคล่เราก็จะสามารถ วิ่งแซงเข้าเส้นชัยได้ก็จะกลายเป็นเรา อยู่เหนือความคิดความคิดก็จะไม่มีอิทธิพล ใดๆต่อจิตใจของเราเห็นคนอื่นเขามานั่ง หลับตา ทำ สมาธิเห็นคนอื่นเขามาเดินจงกรมวนไปวนมาก็ อย่าไปว่าไปตัดสินเขานั่นแหละเขากำลังฝึก ม้าของเขาอยู่ให้เร็วให้ทันความคิดเพื่อ พิชิตสู่การพ้นทุกข์ผู้ที่ไปยืนคิดไปยืน ตัดสินเขาอยู่นั่นแหละคนโง่โง่ที่ตามความ คิดตัวเองไม่ทันสิ้นเหตุไร้ผลวางให้ได้ เหตุผลนั่นแหละคือกับดักเมื่อมีเหตุผลผล ก็ยังไม่ว่างจากเจตนาสิ้นเหตุไร้ผลวางให้ ได้กลับมาสู่ลมหายใจมีสติอยู่กับลมหายใจ เข้าออกนั่นแหละลองทำกัน ดูใจที่ไม่มีข้อแม้คือใจที่ไม่ทุกข์หาก อยากทุกข์ก็จงสร้างเหตุของทุกข์ต่อไปหาก อยากพ้นทุกข์ก็จงสร้างเหตุของกุศลให้ เพิ่มพูนจนไม่มีประมาณไม่มีที่ตั้งจนไม่ มีข้อ แม้ใจที่ไม่มีข้อแม้คือใจที่ไม่มีทุกข์ คุณอาจคิดว่าโชคชะตาทำร้ายคุณแต่เปล่าเลย ความคิดของคุณต่างหากที่ทำร้ายคุณจงมีสติ อย่าให้ความคิดมันหลอกเอาความสงบที่แท้ จริงไม่ใช่สงบเพราะไม่ได้ยินเสียงไม่ใช่ สงบเพราะไปนั่งหลับตาแต่สงบจากอารมณ์ปรุง แต่งต่างหากอยู่ในฐานของกายคือมีสติมัด ไว้กับลมหายใจเกาะลมอย่าทิ้งลมนี้เรียก ว่า กรรมฐานภพชาติเกิดขึ้นทุกวินาทีสังขาร ความคิดความปรุงแต่งนี่แหละคือ วัฏสงสารภพชาติเกิดขึ้นตรงนี้ต่อหน้าต่อ ตาเราไม่ต้องรู้ชื่อธรรมะก็ได้ขอแค่ให้ เห็นการ เกิดความคิดความปรุงแต่งรู้เท่าทันความ คิดนี่คือการทำลายวงจรของภพชาติทำลายวงจร ของ ปัจจิจสมุทรบาทเหตุมันอยู่ตรงนี้ขอให้ทุก ท่านพิจารณาจนมีดวงตาเห็นธรรมเถิดเกิด
No comments:
Post a Comment