Saturday, September 20, 2025
หยุดวิ่งไล่ความสำเร็จ! แค่ทำ 3 สิ่งนี้ แล้วจักรวาลจะจัดสรรให้เอง
เคยรู้สึกไหมคะว่าเอ๊ทำไมชีวิตคนบางคน เนี่ยดูเหมือนมีแต่เรื่องดีๆเข้ามาตลอด เลยความสำเร็จโอกาสต่างๆแบบวิ่งเข้าหาไม่ หยุดเลยจนเราอดสงสัยไม่ได้ว่าเอ๊เค้ามี เคล็ดลับอะไรกันนะ ครับผม เรื่องนี้ก็น่าสนใจนะคะมันพาเราไปเจอแนว คิดนึงเกี่ยวกับเอ่อที่เรียกว่าความอุดม สมบูรณ์น่ะค่ะซึ่งก็มีผู้ฟังสนใจอยากรู้ พอดีเลยเป็นที่มาที่เราคุยกันวันนี้ล่ะ ค่ะคือแนวคิดนี้มองว่าไอ้ความอุดมสมบูรณ์ เนี่ยมันอาจจะไม่ใช่เรื่องโชคอย่างเดียว หรือว่าฟ้าประทานมาให้แต่มันเป็นเรื่อง ของเอ่อสภาวะข้างในตัวเราหรือพลังงานบาง อย่างที่เราเหมือนจะสร้างมันขึ้นมาได้ ปรับจูนได้เพื่อดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาหาเรา นะค่ะ ใช่เลยครับเป็นมุมมองที่น่าสนใจมากคือ เปลี่ยนจากการที่เราแบบเออรอดูโชคชะตามา เป็นการที่เราเออลงมือสร้างความเป็นจริง ด้วยตัวเองได้ อื เหมือนกับมองว่าเอ่อเอ่อกลไกของธรรมชาติ หรือจะเรียกว่าพลังงานรอบตัวเราก็ได้ครับ มันมีหลักการทำงานของมันอยู่ที่แบบเป็น เหตุเป็นผลกัน ค่ะ พอเราเข้าใจแล้วเราปรับปรับคลื่นของเรา ให้มันสอดคล้องกับหลักการนั้นๆนะครับมัน ก็จะส่งผลให้เราได้รับประสบการณ์หรือผล ลัพธ์ที่มันก็สอดคล้องกับคลื่นที่เราส่ง ออกไปนั่นแหละครับ ฟังดูดีจังเลยค่ะ ครับแล้วจากที่รวบรวมแนวคิดต่างๆที่ผู้ ฟังสนใจมาเนี่ยก็พบว่ามันมีหลักการสำคัญ ๆคัญอยู่สัก 3 อย่างที่เขาพูดถึงกันบ่อยๆ ว่าเป็นเหมือนหัวใจหลักเลยในการสร้างแรง ดึงดูดที่ว่านี้ครับ โหน่าสนใจมากค่ะเหมือนกับว่าจริงๆแล้วเรา มีพลังมีอำนาจในการกำหนดชีวิตเราได้มาก กว่าที่เราคิดไว้อีกนะคะ ครับผม งั้นวันนี้เรามาลองเจาะลึกแนวคิดนี้กันดี กว่าค่ะกับ 3 หลักการสำคัญที่เชื่อว่าจะ เปลี่ยนเราให้กลายเป็นเอ่อแม่เหล็กดึงดูด ความอุดมสมบูรณ์ได้เลยมาลองแกะดูทีละข้อ กันเลยนะคะหลักการแรกที่ต้องให้ความสำคัญ เลยคืออะไรคะ ครับหลักการแรกเลยเนี่ยที่เอ่อแทบทุกแนว ทางพูดตรงกันนะครับก็คือการตั้งเจตนาให้ ชัดเจนครับผมไอ้ความชัดเจนเนี่ยแหละคือ จุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดเลยครับ ความชัดเจนทำไมต้องชัดเจนขนาดนั้นล่ะคะ บางทีเราก็แค่อยากเออมีชีวิตที่ดีขึ้น กว้างๆไม่ได้หรอกคะการระบุเป้าหมายชัดไป มันจะเหมือนไปจำกัดตัวเองหรือเปล่าคะ อือืมเป็นคำถามที่ดีเลยครับเพราะว่าหลาย คนก็อาจจะรู้สึกแบบนั้นเหมือนกันแต่ในมุม มองนี้นะครับการที่เรามีความปรารถนาแบบ กว้างๆไปหมดหรือแบบไม่แน่ใจว่าจริงๆอยาก ได้อะไรกันแน่เนี่ย ค่ะ มันเหมือนกับเราพยายามส่งสัญญาณออกไปแต่ สัญญาณนั้นมันเบลอๆนะครับไม่โฟกัสหรือว่า ความเข้มข้นมันน้อย ออ พลังงานที่เราส่งออกไปมันก็จะอ่อนแล้วก็ สะบะสะบะไปหมดทีนี้ผลลัพธ์ที่มันสะท้อน กลับมามันก็เลยอาจจะไม่ค่อยตรงใจหรือไม่ เป็นรูปธรรมอย่างที่เราคาดหวังไว้คือ คล้ายๆกับเราอยากเดินทางแต่ไม่รู้จะไปไหน แน่ก็คงขับรถวนไปวนมาไม่ถึงสักทีอะไร ทำนองนั้นครับ อ๋อพอจะเห็นภาพเลยค่ะเหมือนต้องมีเป้า หมายชักๆเป็นเหมือนดาวเหนือนำทางให้เรา ไม่หลงทางไปซะก่อน ถูกต้องครับใช่เลยแล้วที่น่าสนใจไปกว่า นั้นอีกนะครับคือแนวคิดนี้เนี่ยเขามักจะ อธิบายเรื่องนี้ผ่านสิ่งที่เรียกว่ากฎ แห่งการสั่นสะเทือนหรือ Law of Vibration กฎแห่งการสั่นสะเทือน ครับซึ่งมองว่าทุกสิ่งในจักรวาลนี้เลย ตั้งแต่สิ่งของจับต้องได้ไปจนถึงความคิด ความรู้สึกอารมณ์ของเราเนี่ยล้วนมีการ สั่นสะเทือนในระดับพลังงานที่ต่างกันไป หมดอือฮึ ทีนี้เจตนาที่มันชัดเจนแน่วแน่เนี่ยก็ เหมือนกับการที่เราสร้างเอ่อคลื่นความถี่ เฉพาะตัวที่มันทรงพลันขึ้นมาส่งออกไปใน มิติพลังงานนั้นเพื่อสื่อสารสิ่งที่เรา ต้องการออกไปอย่างแม่นยำเลย ค่ะ พอมันแม่นยำปุ๊บมันก็ทำให้พลังงานอื่นๆ ที่มีความถี่สอดคล้องกันเนี่ยสามารถตอบ สนองแล้วก็ถูกดึงดูดเข้ามาหาเราได้ง่าย ขึ้นครับ โอ้โหฟังดูมีมิติที่ลึกซึ้งกว่าแค่การ ตั้งเป้าหมายธรรมดาเลยนะคะแล้วในทาง ปฏิบัติล่ะคะเราจะสร้างความชัดเจนให้ เจตนาของเราได้ยังไงบ้างมีวิธีที่มันจับ ต้องได้ง่ายๆมั้คะ การเขียนสิ่งที่เราต้องการลงไปให้ชัดเจน ที่สุด เขียนลงไปเลย ใช่ครับอาจจะเขียนลงสมุดบันทึกแต่เคล็ด ลับสำคัญคือให้เขียนด้วยภาษาที่เหมือนกับ ว่าสิ่งนั้นมันเป็นจริงแล้วหรือเรากำลัง ได้รับมันอยู่แล้วนะครับ อ๋อไม่ใช่ ใช่เขียนว่าอยากได้ ใช่ครับแทนที่จะเขียนว่าฉันอยากมีเงินมาก ขึ้นอาจจะลองเปลี่ยนเป็นฉันรู้สึกขอบคุณ จริงๆสำหรับความมั่งคั่งที่หลั่งไหลเข้า มาในชีวิตฉันอย่างต่อเนื่องหรือฉันเป็น แม่เหล็กดึงดูดโอกาสดีๆเข้ามาเสมออะไรแบบ นี้ครับ อื คือการใช้ภาษาปัจจุบันแล้วก็ใส่ความรู้ สึกดีๆเชิงบวกลงไปมันจะช่วยปรับจูนความ คิดความรู้สึกเราให้สอดคล้องกับสิ่งนั้น ได้ดีขึ้นครับ เหมือนเรากำลังบอกตัวเองตอกย้ำกับจิตใต้ สำนึกเราด้วยใช่มั้ยคะ ถูกต้องครับ แล้วมีวิธีอื่นอีกมั้ยคะนอกจากการเขียน อีกวิธีนึงที่ทรงพลังมากๆเลยนะครับคือการ ใช้จินตนาการหรือที่เรียกว่า visualization อ๋อการนึกภาพ ใช่ครับคือการสร้างภาพความสำเร็จหรือภาพ ที่เราได้รับสิ่งนั้นมาแล้วเนี่ยในใจเรา ให้มันชัดเจนที่สุดเท่าที่ทำได้เลย ค่ะนะแล้วไม่ใช่แค่เห็นภาพอย่างเดียวนะ ครับแต่ต้องรู้สึกถึงอารมณ์ด้วยอารมณ์ ความสุขความสมหวังความตื่นเต้นที่มันจะ เกิดขึ้นณเวลานั้นจริงๆอ่ะครับ ต้องอินไปด้วย ต้องอินไปด้วยเลยครับยิ่งเราทำซ้ำๆบ่อยๆ ด้วยความรู้สึกที่เข้มข้นเนี่ยมันก็ เหมือนเราฝึกจิตใจแล้วก็ปรับเคลื่อนพลัง งานข้างในให้ตรงกับความถี่ของสิ่งที่เรา อยากได้ทำให้การสื่อสารผ่านเจตนานั้นมัน ชัดเจนแล้วก็มีพลังดึงดูดมหาศาลเลยครับอื แต่เอ่อเอก็มีข้อสังเกตเหมือนกันนะครับ จากบางแนวคิดเขาก็บอกว่าการจินตนาการที่ มันละเอียดเป๊ะเกินไปเนี่ยบางทีมันอาจจะ สร้างความคาดหวังที่ตายตัวและทำให้เรา ประยึดติดกับภาพนั้นมากไปหน่อย อ๋อค่ะ บางทีการโฟกัสที่ความรู้สึกที่เราอยากจะ ได้จากสิ่งนั้นอาจจะยืดหยุ่นกว่าเปิด กว้างกว่าก็ได้ครับ เป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจมากค่ะแสดงว่าก็ ต้องหาจุดสมดุลเนาะระหว่างความชัดเจนกับ การไม่ไปยึดติดจนเกินไปชัดเจนขึ้นมากเลย ค่ะสำหรับหลักการแรกนี้ทีนี้ไปต่อกันที่ หลักการที่ 2 นะคะซึ่งดิฉันว่าเริ่มน่าสน ใจแล้วก็อาจจะท้าทายขึ้นเรื่อยๆข้อ 2 นี่ เกี่ยวกับอะไรคะ ครับหลักการข้อที่ 2 ก็คือการยกระดับพลัง งานหรือคลื่นความถี่ของเราให้อยู่ในสภาวะ ของความสุขความรู้สึกดีที่เรียกว่า rais your vibration นะครับ การยกระดับพลังงานฟังดูแอบเป็นนามธรรมนิด ๆนะคะมันหมายถึงอะไรแล้วทำไมความสุขถึง ถึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดสิ่ง ต่างๆเข้ามาได้หรอคะ ใช่ครับคำว่าพลังงานหรือ vibration ใน บริบทนี้เนี่ยอาจจะไม่ได้หมายถึงพลังงาน ทางฟิสิกส์เป๊ะๆขนาดนั้นนะครับแต่จะหมาย ถึงสภาวะทางอารมณ์ความรู้สึกข้างในของเรา มากกว่า อ๋อค่ะ แนวคิดนี้เขาเชื่อว่าสิ่งดีๆที่เราอยาก ได้ทั้งหลายแหล่ไม่ว่าจะเป็นความมั่งคั่ง โอกาสดีๆความรักสุขภาพหรือความสำเร็จ เนี่ยล้วนมีคลื่นความถี่หรือการสั่น สะเทือนที่สูงครับมันสอดคล้องกับอารมณ์ เชิงบวกอย่างเช่นความสุขความรักความเมตตา ความรู้สึกขอบคุณซาบซึ้งใจความเบิกบาน ความสงบอะไรพวกนี้ อื ทีนี้ถ้าตัวเราเองเนี่ยมัวแต่จมอยู่กับ อารมณ์ลบๆหรือสภาวะที่พลังงานมันต่ำเช่น ความกังวลความกลัวความรู้สึกว่าขาดแคลน จังเลยอิจฉาโกรธเศร้า ค่ะ มันก็เหมือนกับว่าเรากำลังสั่นสะเทือน อยู่ในคลื่นความถี่ที่มันต่างกันสุดขั้ว เลยกับสิ่งที่เราอยากได้นะครับ เปรียบเทียบเหมือนเราพยายามจะจูนคลื่น วิทยุหาเพลงเพราะๆฟังสบายๆแต่เราดันไป หมุนหาคลื่นที่มีแต่เสียงซ่าๆสัญญาณรบกวน แบบนั้นหรือเปล่าคะ โอ้โหเปรียบเทียบได้เห็นภาพชัดเจนมากครับ ใช่เลยนะครับพอคลื่นความถี่มันไม่ตรงกัน มันก็จูนกันไม่ติดดึงดูดกันไม่ได้ อ๋อ ดังนั้นถ้าเราอยากจะดึงดูดสิ่งที่มี เคลื่อนความถี่สูงๆเราก็จำเป็นต้องปรับ จูนสภาวะภายในของเราให้สั่นสะเทือนอยู่ใน ระดับที่มันใกล้เคียงกันนั่นก็คือการ สร้างแล้วก็รักษาสภาวะของความสุขความรู้ สึกดีความเบิกบานใจให้ได้มากที่สุดใน ชีวิตประจำวันของเราครับ เข้าใจหลักการแล้วค่ะแต่ว่าในชีวิตจริง อ่ะเนาะมันก็มีเรื่องให้เครียดให้กังวล ให้รู้สึกแย่ได้ตลอดเวลาเลยแล้วเราจะยก ระดับพลังงานหรือจูนคลื่นของเราให้มันสูง ขึ้นท่ามกลางเรื่องแย่ๆพวกนั้นได้ยังไง บ้างคะมันดูเหมือนต้องฝืนความรู้สึกหรือ เปล่า ไม่จำเป็นต้องฝืนหรือเซแแสร้งร้งว่ามี ความสุขตลอดเวลานะครับแต่เป็นการฝึกฝนที่ จะเลือกสร้างสภาวะทางอารมณ์ที่ดีให้กับ ตัวเองบ่อยขึ้น อ๋อเลือกที่จะสร้าง ใช่ครับแล้วมันก็มีวิธีง่ายๆที่ทำได้ใน ชีวิตประจำวันเยอะแยะเลยครับอย่างเช่นการ ฟังเพลงเองก็ช่วยได้เลือกเพลงที่ทำให้เรา รู้สึกดีมีพลังใจหรือผ่อนคลาย ค่ะ ที่ดีมากการทำสมาธิหรือฝึกการหายใจแค่วัน ละไม่กี่นาทีก็ช่วยให้ใจเราสงบลงลดความ ฟุ้งซ่านกลับมาอยู่กับปัจจุบันได้ อือฮึ การไปอยู่กับธรรมชาติบ้างใช้เวลาสัมผัส แดดต้นไม้ใบหญ้าก็ช่วยปรับสมดุลพลังงาน ได้ดีหรือแม้แต่การเลือกเสพสื่อก็สำคัญนะ ครับลดการรับข่าวหรือเนื้อหาที่ทำให้เรา รู้สึกหดฮูกังวลหรือโกรธลงบ้าง อืมจริงด้วยค่ะเป็นวิธีที่ดูเหมือนจะง่าย ๆนะคะแต่ก็น่าจะช่วยปรับอารมณ์เราใน ระหว่างวันได้จริงๆ ใช่ครับแล้วก็มีอีกวิธีนึงที่ถูกเน้นย้ำ ในหลายๆแนวทางเลยว่าเป็นวิธีที่ทรงพลัง มากๆมากๆคือการฝึกฝนความรู้สึกขอบคุณหรือ ซาบซึ้งใจที่เรียกว่า gratitude นะครับ การขอบคุณ ครับการฝึกมองหาแล้วก็รู้สึกสึกขอบคุณ สิ่งดีๆที่เรามีอยู่แล้วในชีวิตณตอนนี้ เลยไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ ตาม เช่นอะไรบ้างคะ เช่นขอบคุณลมหายใจที่เรายังมีอยู่ขอบคุณ อาหารมื้อนี้ขอบคุณรอยยิ้มจากใครสักคน ขอบคุณที่มีบ้านให้อยู่คือการจดจอกกับ สิ่งที่มีอยู่แล้วรู้สึกขอบคุณจากใจจริง เนี่ยมันเหมือนเป็นการเปลี่ยนโฟกัสจาก ความรู้สึกขาดไปสู่ความรู้สึกว่าเรามี อยู่แล้วเราได้รับแล้ว อ๋ออ๋อ แล้วไอ้ความรู้สึกนี้ล่ะครับที่เป็นคลื่น ความถี่สูงที่ทรงพลังมากๆเลย จุดนี้สำคัญมากเลยนะคะเหมือนกับว่าเราไม่ ต้องรอให้ได้สิ่งที่อยากได้ก่อนถึงจะมี ความสุขได้ ใช่ครับ แต่เราต้องสร้างความรู้สึกดีๆความรู้สึก อุดมสมบูรณ์ให้มันเกิดขึ้นในใจเราเดี๋ยว นี้เลย ใช่เลย เพื่อเป็นการเปิดประตูรับสิ่งดีๆเข้ามา โอ้โหนี่เป็นการเปลี่ยนลำดับความคิดจาก เดิมไปเลยนะคะเนี่ย ถูกต้องแม่นยำเลยค่ะนี่คือหัวใจสำคัญที่ หลายคนอาจจะมองข้ามไปเลยคือการรู้สึกดี เนี่ยมันไม่ใช่ผลลัพธ์นะคะแต่มันเป็นเหตุ ที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เราต้องการ อืม อือเรื่องเล่ามีตัวอย่างเยอะแยะเลยครับ ที่ชี้ว่าคนที่สามารถรักษาทัศนคติบวกๆ รักษาระดับพลังงานความสุขความเบิกบานหรือ ความรู้สึกขอบคุณไว้ได้สม่ำเสมอเนี่ยมัก จะมีโอกาสดีๆหรือทางออกของปัญหาโผล่เข้า มาแบบไม่คาดฟันเลย โห ราวกับว่าสภาวะข้างในของเราเนี่ยมันส่ง สัญญาณบางอย่างออกไปแล้วก็ไปดึงดูด สถานการณ์ที่มันสอดคล้องกันเข้ามาหาเอง เลยครับ น่าทึ่งมากเลยค่ะว่าแค่สภาวะในใจเรามันจะ มีผลต่อโลกภายนอกได้ขนาดนี้เอาล่ะค่ะมา ถึงหลักการข้อสุดท้ายกันแล้วข้อนี้ตอนแรก ที่ดิฉันฟังเนี่ยรู้สึกขัดแย้งในใจนิด หน่อยคือการปล่อยวางและไว้วางใจหรือ detach and trust ครับผม คือหลังจากที่เราตั้งเป้าหมายชัดเจนแล้ว พยายามทำตัวให้มีความสุขยกระดับพลังงาน แล้วทำไมสุดท้ายต้องมาปล่อยวางล่ะคะมัน ไม่เหมือนกับว่าเราเลิกสนใจเป้าหมายไป แล้วหรอ ครับเป็นประเด็นที่ทำให้หลายคนสับสนจริงๆ ครับคำว่าปล่อยวางในที่นี้เนี่ยมันไม่ได้ หมายถึงการล้มเลิกความตั้งใจหรือว่าไม่ลง มือทำอะไรเลยนะครับ อ๋อไม่ใช่แบบนั้น ไม่ใช่ครับแต่หมายถึงการปล่อยวางความยึด ติดอย่างเหนียวแน่นกับผลลัพธ์นะครับ ค่ะ และการปล่อยวางความกังวลความสงสัยต่างๆ นานามาว่าเฮ้ยสิ่งที่เราต้องการเนี่ยมัน จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่มันจะมาในรูปแบบไหน แล้วมันจะได้มาจริงๆหรือเปล่าอะไรพวกนี้ อื แนวคิดเบื้องหลังเรื่องนี้เขาอธิบายผ่าน สิ่งที่เรียกว่ากฎแห่งการปล่อยวางหรือ Law of Detachment ครับ กฎแห่งการปล่อยวางมันทำงานยังไงหรอคะทำไม การไปยึดติดหรือกังวลมันถึงกลายเป็นผล เสียไปได้หรอคะ ครับเพราะว่าไอ้ความยึดติดความพยายามจะไป ควบคุมผลลัพธ์ให้ได้ดั่งใจเราเป๊ะๆทุก อย่างความกลัวว่าจะไม่ได้หรือความกังวล ว่าเมื่อไหร่จะมาเนี่ย ค่ะ อารมณ์และความคิดพวกนี้ทั้งหมดเลยนะครับ ล้วนเป็นพลังงานที่มีความถี่ต่ำ อ๋อต่ำอีกแล้ว ใช่ครับมันคือพลังงานของความกลัวความขาด แคลนซึ่งอย่างที่เราคุยกันไปในหลักการข้อ 2 เลยมันเป็นคลื่นความฉีกที่ตรงกันข้าม อย่างสิ้นเชิงกับสิ่งดีๆหรือความอุดม สมบูรณ์ที่เราอยากได้ ค่ะ การที่เรามัวแต่ส่งพลังงานความถี่ต่ำพวก นี้ออกไปเรื่อยๆเนี่ยมันจึงเหมือนกับการ ที่เราส่งสัญญาณรบกวนหรือไปสร้างแรงต้าน ทานที่มันไปขัดขวางกระบวนการดึงดูดที่เรา อุตส่าห์เริ่มต้นไว้ดีแล้วด้วยเจตนาที่ ชัดเจนด้วยการยกระดับพลังงานนะครับ อ๋อเข้าใจแล้วค่ะเหมือนเราตั้งใจส่ง สัญญาณดีๆออกไปแล้วแต่ดันไปสร้างกำแพง ขึ้นมากันไม่ให้สัญญาณตอบรับมันกลับเข้า มาได้ด้วยความกังวลของเราใช้เลยครับ เปรียบเทียบได้ดีมากครับส่วนคำว่าไวว่าง ใจหรือ trust ในบริบทนี้คืออะไร ค่ะ มันคือความเชื่อมั่นอย่างแท้จริงเลยครับ เชื่อมั่นว่าเมื่อเราได้ทำในส่วนที่เรา ควบคุมได้ดีที่สุดแล้วนะ อือฮึ คือตั้งเจตนาชัดเจนลงมือทำในสิ่งที่ควรทำ ดูแลรักษาสภาวะพลังงานภายในให้สูงไว้แล้ว เนี่ยที่เหลือก็คือการมอบความไว้วางใจกับ กระบวนการที่มันใหญ่กว่าตัวเราหรือพลัง งานที่เรามองมองไม่เห็น ค่ะ ไม่ว่าเราจะเรียกว่าจักรวาลธรรมชาติหรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรก็แล้วแต่ความเชื่อ เลยนะครับให้ท่านทำหน้าที่จัดสรรแล้วก็นำ พาสิ่งที่เหมาะสมที่สุดมาให้เราในจังหวะ เวลาและรูปแบบที่ดีที่สุดสำหรับเส้นทาง ของเราเองครับ การไว้วางใจนี่พูดง่ายแต่ทำยากเหมือนกัน นะคะโดยเฉพาะเวลาที่เรากดดันมากๆหรือ สถานการณ์มันดูไม่เป็นใจเลยมีวิธีที่เรา จะฝึกฝนการปล่อยวางแล้วก็สร้างความไว้วาง ใจนี้ให้มันแข็งแกร่งขึ้นได้ไหคะ ต้องอาศัยการฝึกฝนแล้วก็ปรับมุมมองอย่าง ต่อเนื่องเลยครับวิธีหนึ่งที่ช่วยได้ก็ คือการใช้คำยืนยันเชิงบวกหรือ affirmation ที่เน้นเรื่องการปล่อยวางและความไว้วางใจ โดยเฉพาะ เช่นอะไรบ้างคะ เช่นหมั่นบอกตัวเองบ่อยๆว่าทุกสิ่งกำลัง คลี่คลายไปในทางที่ดีที่สุดสำหรับฉันหรือ ฉันเปิดรับสิ่งดีๆที่กำลังเดินทางมาหาใน เวลาที่เหมาะสมเสมอ หรือฉันไว้วางใจในกระบวนการของชีวิตอะไร แบบนี้ครับ อื การตอกย้ำความคิดเหล่านี้ซ้ำๆมันจะช่วย ปรับโปรแกรมในจิตใต้สำนึกเราได้ครับอีก วิธีที่สำคัญมากๆคือการฝึกยอมรับปัจจุบัน ขณะ ยอมรับปัจจุบัน ใช่ครับไม่ว่าสถานการณ์ตอนนั้นมันจะเป็น ยังไงพยายามไม่ไปต่อต้านมันแต่เรียนรู้ ที่จะอยู่กับมันอย่างสงบทำความเข้าใจแล้ว ก็มองหาบทเรียนหรือโอกาสที่มันอาจจะซ่อน อยู่ในการยอมรับนั้น ค่ะ คือการยอมรับเนี่ยไม่ได้หมายถึงการยอมแพ้ นะครับแต่เป็นการลดแรงต้านในใจเราแล้วก็ เปิดใจให้กว้างพอที่จะรับรู้ว่าเออบางที ผลลัพธ์ที่จักรวาลจัดสรรมาให้เนี่ยมันอาจ จะดูต่างจากภาพที่เราวาดไว้เป๊ะๆเลยก็ได้ อื แต่มันอาจจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าหรือจำเป็น ต่อการเติบโตของเรามากกว่าในระยะยาวก็ได้ ใครจะรู้ใช่มั้ครับ จริงค่ะ ซึ่งตรงนี้ก็นำไปสู่คำถามที่แน่ขบคิดต่อ เหมือนกันนะครับว่าในโลกที่มันเต็มไปด้วย ความไม่แน่นอนแบบนี้เนี่ยเนี่ยเราจะ สามารถบ่มเพาะความรู้สึกไว้วางใจอย่างแท้ จริงนี้ให้มันอย่างรากลึกในใจเราได้ยังไง มันต้องอาศัยอะไรบ้างในการฝึกฝน ค่ะเป็นคำถามที่ท้าทายแล้วก็น่าเก็บไปคิด ต่อจริงๆค่ะเอาล่ะค่ะเราก็ได้สำรวจลงลึก กันมาครบทั้ง 3 หลักการสำคัญที่เชื่อว่า เป็นกุญแจสู่การดึงดูดความอุดมสมบูรณ์ แล้วนะคะพอจะสรุปให้เห็นภาพรวมความเชื่อม โยงของทั้ง 3 หลักการนี้อีกสักครั้งได้ มั้คะว่ามันทำงานร่วมกันยังไง ได้ครับถ้าจะสรุปไม่เห็นภาพรวมง่ายๆเลยนะ ครับแนวคิดนี้มองว่ากระบวนการสร้างแรงดึง ดูดความอุดมสมบูรณ์เนี่ยมันประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลักที่ต้องทำงานสอดประสานกัน อย่างลงตัวเลยครับคือ 1 คือตั้งธงไอ้ชัด clarity รู้ว่าต้องการอะไรจริงๆกำหนดทิศ ทางความปรารถนาให้คมชัดแล้วก็สื่อสารออก ไปอย่างแน่วแน่ผ่านความคิดเจตนาของเรา ค่ะ 2 คือจูนคลื่นให้สูง vibration ดูแลสภา สภาวะอารมณ์ความรู้สึกภายในให้อยู่ในแดน บวกเข้าไว้เป็นส่วนใหญ่เลยสร้างความรู้ สึกสุขสงบรักขอบคุณให้เกิดขึ้นในปัจจุบัน ขณะให้ได้มากที่สุด อือฮึ และ 3 คือปล่อยมือด้วยใจเชื่อ Detachment and trust เมื่อทำ 2 ข้อแรกเต็มที่แล้ว ก็ให้ปล่อยวางความคาดหวังในรูปแบบและเวลา ของผลลัพธ์ลดความกังวลลงแล้วก็เชื่อมั่น อย่างแท้จริงว่าสิ่งที่เหมาะสมกำลังเดิน ทางมาหาเราแน่นอน ฟังดูเหมือนเป็นการทำงานร่วมกันของทั้ง ความคิดคือการตั้งเป้าทั้งความรู้สึกคือ การสร้างพลังงานบวกแล้วก็ความช่วยมั่นคือ การไว้วางใจเลยนะคะ ถูกต้องครับเป็นการบูรณาการทั้งข้างในและ ข้างนอกเลยการฝึกฝน 3 สิ่งนี้อย่างสม่ำ เสมอในชีวิตประจำวันนะครับแม้จะเริ่มจาก เรื่องเล็กๆน้อยๆก่อนก็ได้เชื่อกันว่าจะ ค่อยๆสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับพลังงาน ทัศนคติแล้วก็มุมมองของเรา ค่ะ ทำให้เราค่อยๆกลายเป็นเหมือนเอ่อเสาอาการ ที่ปรับจูนคลื่นได้ดีขึ้นสามารถรับแล้วก็ ดึงดูดโอกาสผู้คนหรือทัพยากรดีๆที่มันสอด คล้องกับสิ่งที่เราต้องการเข้ามาในชีวิต ได้แบบเป็นธรรมชาติมากขึ้นเรื่อยๆครับ เป็นมุมมองที่เปิดโลกทัศน์แล้วก็ให้ความ หวังมากๆเลยนะคะก็อยากจะชวนให้ลองนำหลัก การเหล่านี้ไปลองพิจารณาใคร่ครวญกันดูว่า เอ๊ะมันสอดคล้องกับความเชื่อหรือ ประสบการณ์ส่วนตัวของเรามากน้อยแค่ไหน ครับผมหรือบางทีอาจจะลองนำไปปรับใช้ในมุม เล็กๆของชีวิตดูก่อนแล้วก็ลองสังเกตดูการ เปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยก็ได้นะ ครับ
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment